การมีเพื่อนบ้านที่ดี ก็เหมือนถูกหวยนะครับ ชีวิตราบรื่นมีความสุข แต่ถ้าตรงกันข้ามใครมีเพื่อนบ้านที่นิสัยแย่ ก็เหมือนตกนรก ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันประจำ ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องย้ายบ้านหนีกันเลยล่ะ การสานสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทักทายกัน หยิบยื่นความช่วยเหลือเล็กน้อยแก่กัน ช่วยกันดูแลบ้านในขณะที่อีกฝ่ายไม่อยู่ นั่นก็เป็นการทำให้บ้านเราอบอุ่นน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง

เรื่องที่จะเล่านี่ก็เป็นความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านที่ดูแลทักทายกันเป็นประจำ แต่ประเด็นสำคัญที่ควรแก่การหยิบมาเล่าต่อก็คือความไม่ธรรมดาของเพื่อนบ้านคู่นี้นี่สิ ที่ลงเอยด้วยความอบอุ่นอย่างที่สุด เพราะเป็นความสัมพันธ์ของหนุ่มหล่อผู้เป็นนักแสดงวัย 31 ปี กับคุณยายไร้ญาติวัย 89 ปี แล้วคุณยายก็ป่วยเป็นลูคีเมียระยะสุดท้ายแต่ไม่มีลูกหลานมาดูแลสักคนเดียว ใครจะไปคาดคิดได้ล่ะครับ ว่าในที่สุดแล้วเจ้าหนุ่มเพื่อนบ้านนี่จะรักและเอาใจใส่คุณยายอย่างบริสุทธิ์ใจ ถึงขั้นอาสารับคุณยายไปดูแลเองที่ห้องของเขาจนวาระสุดท้ายที่คุณยายได้จากโลกนี้ไป

คริส ซัลวาทอเร และ นอร์มาคุก

นี่เป็นเรื่องราวของ คริส ซัลวาทอเร (Chris Salvatore) และนอร์มา คุก (Norma Cook) ทั้งคู่รู้จักกันเพราะอยู่ร่วมอพาร์ตเมนต์ห้องตรงข้ามกัน ซัลวาทอเรย้ายมาที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ในฮอลลีวูด แคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2014 เวลาซัลวาทอเร่ออกจากห้องจะไปทำงาน คุณยายคุกก็จะโบกมือทักทายจากหน้าต่างห้องของเธอ เป็นเช่นนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ซัลวาทอเรก็เป็นฝ่ายเปิดประโยคทักทายคุณยายคุก

“ผมขอเข้าไปนั่งคุยกับคุณยายได้ไหมครับ? ผมกล้าเอ่ยปากถามเพราะคุณยายดูเป็นคนใจดีมาก แล้วเธอก็ให้ผมเข้าไปแล้วรินแชมเปญให้ผมดื่มด้วย จากนั้นมันก็ดูเหมือนเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างเราได้อย่างรวดเร็ว”
“ในช่วงที่ผมขอไปนั่งคุยกับคุณยายนั้น ผมเพิ่งเลิกรากับแฟน ผมรู้สึกหดหู่มากทำให้ผมนั่งคุยกับคุณยายได้ยาวเป็นชั่วโมงเลยเชียว แค่ผมมองไปแล้วเห็นคุณยายนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วฟังที่ผมพูดผมก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เธอได้ช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้จริง ๆ”

จากนั้นเพื่อนต่างวัยคู่นี้ก็ใช้เวลาว่างอยู่ด้วยกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำอาหารทานด้วยกัน นั่งคุยกัน ซัลวาทอเรเองก็ชอบเล่นกับ ‘แอร์เมส’ เจ้าเหมียวของคุณยายคุกด้วย

คริส ซัลวาทอเร และ นอร์มาคุก

“เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด ผมได้รู้เรื่องราวของคุณยายมาว่า คุณยายมีเพื่อนที่เป็นเกย์เยอะมาก แต่พวกเขาก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้วในช่วงเอดส์ระบาดใหม่ ๆ นู่น และการที่ผมเป็นเกย์นั้น ก็ทำให้เราสานสัมพันธ์กันได้เหนียวแน่นขึ้น”

คุณยายคุกเคยแต่งงาน แต่เธอหย่ากับสามีตั้งแต่ตอนที่เธออายุ 43 ปี และไม่มีลูก คุณยายตรวจพบว่าเป็นลูคีเมียตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว จนมาถึงช่วงปีที่ผ่านมานี่ อาการของเธอเริ่มทรุดหนักขึ้น แล้วเธอก็ไม่มีญาติพี่น้องที่อยู่แถวนี้อีกด้วย ซัลวาทอเรจึงอาสาดูแลคุณยาย

“ปีที่แล้วคุณยายเข้า-ออกโรงพยาบาลมาแล้ว 6 ครั้ง ครั้งล่าสุดก็เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วนี่เอง หมอบอกกับเธอว่า ‘ผมปล่อยให้ยายกลับบ้านไม่ได้หรอกนะ ถ้ายายไม่มีใครดูแลตลอด 24 ชั่วโมงน่ะ’ ส่วนผมน่ะปล่อยให้ยายไปอยู่สถานพักฟื้นหรือบ้านคนชราอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะคุณยายเคยบอกผมไว้ว่า ‘ฉันยอมตายดีกว่าถ้าจะต้องไปอยู่ที่แบบนั้น’ “

ดั้งนั้นซัลวาทอเรจึงกลายเป็นผู้รับมอบอำนาจในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้คุณยายคุก และเป็นผู้ดูแลหลัก หลังจากที่หมอได้แจ้งให้คุณยายคุกทราบว่าเธอเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น พอซัลวาทอเรได้ยินเช่นนั้น เขาก็เข้าไปตั้งแคมเปญเปิดรับบริจาคเงินในเว็บไซต์ GoFundMe เพื่อเป็นทุนในการซื้อขาวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้คุณยาย ในส่วนที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบของบริษัทประกันชีวิต

“ตอนนั้นผมเริ่มมีผู้ติดตามบนสื่อโซเชียลจำนวนหนึ่งแล้ว เพราะเวลาผมแชร์ภาพและวิดีโอผมก็จะใส่ #MyNeighborNorma ลงไปด้วย ซึ่งผมก็ชวนทุกคนให้มาดูมิตรภาพระหว่างผมกับคุณยายคุก”

อินสตาแกรมของ คริส ซัลวาทอเร

หลังจากประกาศเรี่ยไรทุนไปได้ 1 เดือน ซัลวาทอเรก็ได้ทุนทรัพย์พอที่จะดูแลคุณยายแล้ว เขาย้ายคุณยายคุกออกมาจากศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้เข้ามาอยู่ร่วมห้องกับเขา เพื่อที่เขาจะได้ดูแลคุณยายเองในช่วงเดือนสุดท้ายของคุณยาย”

(อ่านต่อหน้า 2)

“การที่ผมได้สนิทกับเธอในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี่ ทำให้ผมมีความผูกพันกับเธอแล้วก็กลายมาเป็นผู้ดูแลเธอ สำหรับผมมันเป็นเรื่องยากมากที่จะระงับอารมณ์ความรู้สึกกับคนที่เรารู้สึกผูกพันด้วย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขากำลังจะตายไปต่อหน้าต่อตาเรา ผมพยายามวางท่าให้ดูเข้มแข็งที่สุด เพราะผมไม่อยากให้ยายเห็นว่าผมกำลังเสียใจ”

ระหว่างที่คุณยายคุกมาพักอยู่กับซัลวาทอเรนั้น เธอยืนด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา แต่ซัลวาทอเรก็บอกว่าแม้อยู่ในสภาพนั้นแต่คุณยายก็ยังเปล่งประกายเฉิดฉายอย่างกับดอกไม้ไฟ
“ที่เธอเป็นแบบนี้ละ ทำให้ผมรักเธอ เธอยังเป็นคนทันสมัยและวิจารณ์อะไรตรงไปตรงมาอย่างที่เธอเห็น ถ้าผมใส่เสื้อตัวไหนที่เธอไม่ชอบ เธอจะวิจารณ์ทันที เธอเป็นของเธอแบบนี้แหละ มันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ”

ซัลวาทอเรเล่าว่า คุณยายคุกดูมีความสุขอย่างมาก แม้ว่าเธอจะอยู่ในสภาวะป่วยหนัก เธอกินอาหารได้เยอะขึ้นและน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นด้วย
“เธอยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เธอหวาดกลัวความตาย แต่เธอก็บอกว่าเธอยอมรับชะตากรรมได้”
“คุณยายบอกว่า ผมคือหลานชายที่เธอไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ผมพยายามจะใช้เวลาอยู่กับคุณยายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แต่เราก็ยังมีกันและกัน”

พยาบาลจากโรงพยาบาลแวะมาดูอาการคุณยายสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เธอบอกว่าคุณยายน่าจะอยู่ได้อีกประมาณ 2 เดือนหรืออาจจะน้อยกวานั้น

“วันนั้นคุณยายคุกบอกผมว่า เธอไม่อยากให้ผมเห็นตอนที่เธอจากโลกนี้ไป มันเป็นคำพูดที่ทำผมใจสลายมาก เพราะว่าผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะเป็นคนที่อยู่กับเธอในวาระสุดท้าย ผมไม่อยากให้เธอคิดว่าผมจะต้องเสียใจเจียนตายไปด้วย ผมพยายามแสดงให้เธอเห็นว่าผมแข็งแกร่งพอ ผมบอกกับยายว่าผมโอเคถึงแม้ว่ามันจะผ่านช่วงเวลานั้นไปยากมาก ๆ ก็เถอะ”

“ผมบอกตัวเองเสมอว่าผมโชคดีมากที่ได้รู้จักคุณยาย เธอคือผู้เปลี่ยนชีวิตผม เธอทำให้ผมเป็นคนจิตใจดีขึ้นมาก กลายเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้อยู่กับเธอในช่วงวาระสุดท้ายของเธอ”

ซัลวาทอเรบอกว่าเขายินดีที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความผูกพันของเขากับคุณยายคุก เพราะอยากให้เรื่องราวของเขาได้กระตุ้นให้ผู้คนได้รู้จักเปิดใจยอมรับผู้คนรอบข้างที่แปลกใหม่มากขึ้น
“ผมอยากให้เรื่องราวของผมได้เป็นแรงบันดาลใจต่อผู้คน ให้เปิดใจต่อคนแปลกหน้าหรือเพื่อนบ้านมากขึ้น แรกเริ่มคุณอาจมองว่าเขาแปลกแตกต่างจากคุณ ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้จากคุณยายคุก และผมก็อยากให้ทุกคนได้เรียนรู้เรื่องนี้จากเธอเช่นกัน ความมีน้ำใจมันสามารถเยียวยาซึ่งกันและกันได้ พวกเราอยู่ร่วมโลกเดียวกัน ถ้าคุณจุดดวงไฟเพื่อส่องสว่างเส้นทางให้ใครสักคน ดวงไฟเดียวกันก็จะส่องสว่างเส้นทางของคุณด้วย”

“ตอนผมเจอคุณยายแรก ๆ นั้น ผมคิดว่าผมไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคนแก่อายุ 89 หรอก แต่แล้วผมก็พบว่าวัยต่างกันไม่ใช่ปัญหาเลย อย่าเอามันมาเป็นข้ออ้างที่จะสานสัมพันธ์กับใครสักคนเลย เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาคนนั้นอาจจะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณก็ได้”

ตั้งแต่ซัลวาทอเรรับคุณยายมาดูแล เขาให้คุณยายนอนบนเตียง ส่วนตัวเขาก็นอนบนโซฟาข้าง ๆ เผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินเขาจะได้รับรู้โดยทันท่วงที
“การต้องเผชิญกับความตาย ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครก็ตาม แต่ผมก็จะอยู่เคียงข้างเธอเพื่อให้ผ่านพ้นภาวะเช่นนี้ไปให้ได้”
“เวลาผมคุยอะไรกับคุณยาย ถึงแม้บางครั้งเธอจะไม่ได้กล่าวตอบอะไรผม แต่ผมก็สังเกตได้ว่าเธอรับรู้จากสายตาและรอยยิ้มบาง ๆ ของเธอ”
“เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ คุณยายเริ่มเข้าสู่สภาวะโคมา แต่ก็มีบางช่วงที่อาการเธอพอจะทุเลาขึ้นมา เธอก็พยายามจะสื่อสารกับผม เช้าวันรุ่งขึ้นคุณยายบอกผมว่าเธอพร้อมที่จะจากไปแล้ว เธอรอให้พระเจ้ามารับตัวเธอไป”
คำพูดสุดท้ายของคุณยายที่ฟังได้ยาก แต่ซัลวาทอเรพอจะจับเป็นคำได้ว่า “ฉันรักเธอนะ”
ซัลวาทอเรเล่าต่อว่า ความหวังสุดท้ายของคุณยายคุกคือถ้าจะอยู่ให้ถึงวันวาเลนไทน์ เพื่อฉลองวาเลนไทน์เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตเธอโดยที่มีซัลวาทอเรอยู่ข้าง ๆ
“ในวันวาเลนไทน์ผมเตรียมขนมหวานไว้ให้เธอกองใหญ่ มีทั้งช็อกโกแลตในกล่องรูปหัวใจ และดอกกุหลาบอีกหนึ่งช่อ ผมหอบทั้งหมดเดินเข้าประตูไปหาเธอแล้วบอกกับเธอว่า
“คุณจะเป็นคู่ควงวันวาเลนไทน์ของผมไหม? เพราะคุณยายอยากที่จะฉลองวาเลนไทน์ครั้งสุดท้ายกับผม ผมเองก็อยากให้เธอรู้สึกเป็นคนพิเศษสุดในวันนี้”

คุณยายนอร์มา คุก จากไปตอนตี 1 ของวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2017 หลังผ่านพ้นวันวาเลนไทน์มาได้ 1 ชั่วโมงพอดี
“สิ่งสุดท้ายที่เธอทำคือโอบกอดมารอบคอผม ตอนนั้นเธออ่อนแรงมากแล้ว ผมก็ไม่รู้นะว่าทำไมเธอยังมีแรงโอบกอดผมได้อีก เธอดึงตัวผมเข้าไปหา จุ๊บผมแล้วบอกว่า เธอรักผม”

“ผมเตรียมใจมาตลอดว่าเธอกำลังจะจากไปในไม่กี่วันนี้แล้ว เพราะอาการเธอช่วงนั้นดี ๆ ทรุด ๆ เป็นระยะ ผมจึงตั้งใจอยู่กับเธอให้มากที่สุด ทำให้เธอมีความสุขและสบายใจที่สุด และเธอก็น่าจะจากไปในแบบที่สงบสุขที่สุด เพราะรอบตัวเธอมีทั้งพยาบาล เพื่อน ๆ และผมอยู่เคียงข้างเธอ”

“ห้องผมตอนนี้มันเงียบเหงามาก ผมสัมผัสได้ถึงวิญญาณของเธอว่ายังอยู่ที่นี่ แต่ผมก็รู้สึกสงบสุขนะที่ได้รู้ว่าเธอได้จากไปอย่างสบายไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ผมรู้สึกว่าเธอยังเฝ้ามองผมด้วยความห่วงใย”

ก่อนจากไป คุณยายคุกขอให้ซัลวาทอเรให้สัญญากับเธอไว้เรื่องหนึ่ง ว่าจะต้องไม่จัดพิธีศพให้กับเธอ ขอให้จัดงานเฉลิมฉลองด้วยการเชิญเพื่อน ๆ ของเธอมาร่วมงานกันแค่นั้นพอ
“เธอคือครูผู้ยิ่งใหญ่ที่สอนให้ผมรู้จักความรัก เธอคือผู้ที่นำพาผู้คนต่างวัย ต่างเชื้อชาติ ต่างรสนิยมทางเพศ ให้มาเชื่อมสัมพันธ์กัน คุณยายพร่ำบอกผมเสมอว่าเธอยากเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ผมน่ะคิดว่าเธอได้ลงมือทำแล้วด้วยเรื่องราวชีวิตของเธอเอง และความรักอันท่วมท้นที่เธอมอบให้ผู้คนรอบข้าง เธอมอบความรักให้กับโลกใบนี้ในวันที่เราต้องการมันจริง ๆ”

อ้างอิง อ้างอิง