แต่ละปีโลกเรามีอาคารสูงผุดขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะในเมืองหลวงที่มีผู้คนแห่แหนมาใช้ชีวิตกันมากขึ้น ทำให้เราต้องใช้ชีวิตในแนวดิ่งกันมากขึ้น ไม่ว่าจะทำงานในอาคารสูงหลายสิบชั้น บางอาคารก็แตะร้อยชั้นกันแล้ว เลิกงานก็กลับมาใช้ชีวิตในคอนโดที่เป็นอาคารสูง แน่นอนว่าเมื่อชีวิตต้องอยู่กันแต่ในอาคารสูง พาหนะโดยสารที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือลิฟต์โดยสาร เป็นสิ่งจำเป็นในทุกอาคาร และบางอาคารก็ต้องมีลิฟต์โดยสารนับสิบตัว ทุกครั้งที่เราเข้าไปในลิฟต์ต่อให้มีความเคยชินแล้วก็ตาม หรือรู้อยู่ว่าเทคโนโลยีของลิฟต์โดยสารมีความปลอดภัยสูงไม่มีใครเสียชีวิตจากอุบัติเหตุลิฟต์ร่วงมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่ลึก ๆ ในใจก็ย่อมมีความหวั่นวิตกว่าเราอยู่ในเวลานาทีที่มีความเสี่ยง เพราะกำลังฝากชีวิตไว้กับสายเคเบิลและอุปกรณ์นิรภัย แค่ลิฟต์ชะงัก หรือกระตุก ใจเราก็หายแว้บกันแล้วจริงไหม

Betty Lou Oliver)

เรื่องที่จะเล่านี่เกิดขึ้นเมื่อ 77 ปีก่อน เป็นเหตุการณ์ในปี 1945 ที่เกิดอุบัติเหตุลิฟต์ร่วงมา 75 ชั้น เป็นระยะทางกว่า 300 เมตร แล้วเธอก็รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ถึงขั้นได้รับประกาศณียบัตรจากกินเน็สบุ๊กไปเลยในฐานะบุคคลที่รอดตายจากอุบัติเหตุลิฟต์ร่วงจากชั้นที่สูงที่สุดในโลก สาวผู้นี้มีชื่อว่า เบ็ตตี้ ลู โอลิเวอร์ (Betty Lou Oliver) ในวันที่เกิดเหตุเธอมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเธอนั้น เรียกได้ว่าเป็นโชคดีในวันที่เธอโชคร้ายสุด ๆ แล้วเหตุที่เธอไปประสบเหตุการณ์ร้ายนี้เข้าก็เพราะว่า โอลิเวอร์เป็นพนักงานหญิงผู้ทำหน้าที่กดลิฟต์อยู่ในตึกเอ็มไพร์สเตท ตึกที่สูงที่สุดในโลกในวันนั้น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอครองสถิติโลกนี้โดยไม่ได้ต้องการ

B-25 Mitchell bomber

วันซวยของโอลิเวอร์คือวันที่ 28 กรกฎาคม 1945 ในวันนั้นเครื่องบินทิ้งระเบิด B-25 ของกองทัพสหรัฐฯ บินผ่านมาใกล้ตึกเอ็มไพร์สเตท แล้วก็เจอเข้ากับทัศนวิสัยที่เลวร้าย หมอกหนาจนนักบินมองทิศทางไม่เห็น ทำให้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเอ็มไพร์สเตทเข้าอย่างจัง จุดที่ชนอยู่ชั้นที่ 79 ผลก็คือนักบิน 3 คนเสียชีวิตหมด รวมไปถึงผู้คนในตึกที่อยู่ในบริเวณที่เครื่องบินพุ่งชนเสียชีวิตอีก 11 ราย ผลที่ตามมาจากแรงปะทะอย่างรุนแรง ทำให้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์หลุดจากตัวเครื่องบินแล้วพุ่งเข้าไปชนปล่องลิฟต์ แล้วไปตัดสายเคเบิลลิฟต์จนขาดทุกเส้น ผลก็คือลิฟต์ตัวที่โอลิเวอร์ประจำการอยู่นั้น ร่วงลงสู่เบื้องล่างทันที

ชั้นที่ 79 ที่เกิดเหตุ

ใครที่ได้ยินเรื่องเหตุการณ์นี้ก็ต้องคิดเหมือน ๆ กันว่า โอลิเวอร์ไม่มีทางรอด แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริง ตอนที่หน่วยกู้ภัยเข้าถึงตัวเธอนั้น เธอรอดชีวิตในสภาพร่างกายที่ย่ำแย่เต็มที อาการของโอลิเวอร์นั้น มีกระดูกเชิงกราน กระดูกสันหลัง และกระดูกช่วงคอหัก เธอจำต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับเดือน และพักฟื้นอีกนานนับปีกว่าจะเป็นปรกติ หน่วยกู้ภัยรีบนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล ในขณะที่เธอยังไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ลิฟต์เธอร่วงลงมายังชั้นใต้ดินเลยด้วยซ้ำ

หนำซ้ำไปกว่านั้น เมื่อได้รู้ว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่โอลิเวอร์จะทำงานที่ตึกเอ็มไพร์สเตทนี้ เพราะเธอได้ยื่นลาออกเพื่อจะย้ายไปอยู่กับสามีของเธอ ที่เป็นทหารและประจำการอยู่ที่รัฐอริโซนา

พื้นที่เกิดเหตุด้านในอาคาร

การรอดชีวิตของโอลิเวอร์ในครั้งนั้นนับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ จึงมีการสำรวจกันอย่างละเอียดลงลึกว่า ทำไมโอลิเวอร์จึงรอดชีวิตมาได้ มีสมมติฐานได้ 3 สาเหตุที่ผนวกด้วยกันในเวลาเดียวกันเป็นผลให้โอลิเวอร์รอดชีวิตมาได้
สาเหตุแรก : การที่ลิฟต์โดยสารตกลงสู่พื้นล่างอย่างรวดเร็วนั้น สร้างแรงดันอากาศขึ้นมารองรับตัวลิฟต์ เปรียบเสมือนเบาะลม “air cushion”
สาเหตุที่สอง : สายเคเบิลของลิฟต์โดยสารที่ขาดนั้น มีความยาวรวมหลายร้อยเมตร พอสายเคเบิลขาดก็ตกไปกองรวมกันอยู่บนพื้นล่าง พอลิฟต์โดยสารร่วงลงไป กองสายเคเบิลนั้นก็ช่วยดูดซับแรงกระแทกไปได้อย่างมาก
สาเหตุที่สาม : มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่ชื่อว่า hydraulic plunger ติดตั้งอยู่ที่ด้านล่างสุดของปล่องลิฟต์ ออกแบบมาเพื่อดูดซับแรงกระแทกโดยเฉพาะ และยังช่วยลดความเร็วของลิฟต์ที่ร่วงลงมาอีกด้วย แต่อย่างที่สามนี่ก็อันตรายเช่นกัน เมื่อลิฟต์ร่วงหล่นใส่ hydraulic plunger อย่างแรงและเร็ว เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ก็เลยพุ่งทะลุพื้นล่างของลิฟต์ขึ้นมา เดชะบุญที่ไม่โดนร่างของโอลิเวอร์ เพราะขณะนั้นเธอยืนตัวลีบอยู่ชิดผนังลิฟต์

ด้วยน้ำหนักของตัวลิฟต์บวกกับน้ำหนักของสายเคเบิล และความเร็วที่ตกกระแทกพื้น เทียบน้ำหนักแรงกระแทกได้ประมาณ 4,3xx กิโลกรัม ด้วยความรุนแรงเช่นนี้ส่งผลแรงกระแทกลึกลงไปในชั้นดินเบื้องล่างอีก 3.6 เมตร ทำให้ท่อน้ำประปาหลักแตก ทำให้เกิดน้ำท่วมชั้นใต้ดินของอาคาร กินเวลาซ่อมแซมนานนับปี

วันที่เบ็ตตี้กลับมาเยี่ยมสถานที่เกิดเหตุ

แน่นอนว่า เหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ต้องส่งผลกระทบต่อจิตใจของเบ็ตตี้ ลู โอลิเวอร์ อย่างรุนแรง เธอใช้เวลาเยียวยาจิตใจนานถึง 5 เดือน กว่าจะกล้ากลับมาเยือนตึกเอ็มไพร์สเตทได้อีกครั้ง ส่วนบริษัท โอทิส เจ้าของระบบลิฟต์โดยสารของตึกเอ็มไพรส์สเตทนั้น ก็ออกมาโต้แย้งอย่างรุนแรงว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทโอทิส

“เหตุการณ์นี้ไม่สามารถจะนำมาพิจารณาว่าเป็นความผิดพลาดของอุปกรณ์และสายเคเบิลของลิฟต์โดยสารได้”
พร้อมกันนั้น ตัวแทนของ Otis Elevator Co.ยังอ้างอีกด้วยว่า การโดยสารด้วยพาหนะเคลื่อนที่ในแนวตั้งนั้น เป็นรูปแบบการโดยสารที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้ว
มีการอ้างอิงตัวเลขสถิติจากนิตยสาร Elevator World ว่า เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในขณะนี้นั้น มีลิฟต์โดยสารมากกว่า 600,000 ตัว ที่ติดตั้งและยังคงทำงานอยู่ แต่ละปีลิฟต์เหล่านี้บริการผู้คนมากกว่า 44,660,548,000 คน แล้วถ้าเทียบกับปริมาณผู้คนที่ใช้บริการลิฟต์โดยสารนั้น เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ถ้านับรวมจำนวนคนที่ใช้ลิฟต์โดยสารทั่วโลกในทุก ๆ 9 วัน ก็จะเท่ากับจำนวนประชากรคนทั้งโลกเลยเชียว

อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง