เอเซอร์เปิดตัวพีซีและแล็บท็อปซีรีส์ใหม่ ในชื่อ ConceptD กับดีไซน์ใหม่ที่ดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งซีพียูและการ์ดจอ สำหรับซีรีส์นี้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้งสี่แบบ ได้แก่ เดสก์ท็อปพีซี, แล็บท็อป, มอนิเตอร์ และแว่นวีอาร์

พีซีเวิร์คสเตชั่นที่ไม่เหลี่ยมเหมือนแต่ก่อน

เริ่มต้นจากพีซีสายงานกราฟิก ออกแบบ และตัดต่อกันก่อน ทุกทีเราจะคุ้นเคยกับดีไซน์เครื่องที่เหลี่ยม และดูดุดัน แต่กับ ConceptD 500 นั้นต่างกันสิ้นเชิง ดีไซน์ในลักษณะโค้งมนแต่ยังคงรูปร่างของ Tower PC เอาไว้ กระจังระบายอากาศขนาดใหญ่และขนาดตัวเครื่องที่ยาวกว่าเดิม เป็น 25 นิ้ว ทำให้มีพื้นที่ให้กับการระบายอากาศดียิ่งขึ้น และเงียบกว่าเดิม (สำหรับใครที่ไม่ชอบให้มีเสียงเครื่องรบกวนระหว่างทำงาน) และยังตกแต่งให้ด้านบนตัวเครื่องมีลายไม้ ที่ตัดกับสีขาวของตัวเครื่อง ทำให้เครื่องดูสวยงามไปอีกแบบ จนลืมไปว่านี่เป็นเครื่องพีซีสำหรับมือโปรโดยเฉพาะ

นอกเหนือจากนี้ยังมี ConceptD 900 ที่ลักษณะตัวเครื่องคล้ายๆ กัน แต่กันที่ยังมีความเหลี่ยมผสมกับความโค้งมนของหน้าเครื่อง และมาพร้อมกับสีดำที่ดูคมเข้ม

สำหรับสเปคของทั้งสองรุ่นนี้ต่างกันไม่มากเท่าไหร่ รุ่น ConceptD 500 ใช้ซีพียู Intel Core-i9 9900K มาพร้อมกับแรม DDR4 ที่อัปได้มากสุดถึง 64 กิกะไบต์ และการ์ดจอสำหรับสายงานออกแบบโดยเฉพาะอย่าง Nvidia Quadro RTX 4000 ส่วน ConceptD 900 จะใช้ซีพียู Intel Xeon Gold 6148 40 Core พร้อมแรม DDR4 อัปได้สูงสุดถึง 192 กิกะไบต์ และการ์ดจอ Nvidia Quadro RTX 6000 รุ่นเดียวกันแต่อัปความแรงเพิ่มขึ้นมา

แล็บท็อปที่พร้อมใช้งานหลายรูปแบบ

ในส่วนของแล็บท็อปนั้นก็ยังมีออกมาให้ได้ใช้งานเช่นกัน แน่นอนว่าต้องมีสเปคแรงๆ เหมาะกับสายกราฟิก หรือสายตัดต่อที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน สามารถพกพาไปทำงานที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ สำหรับตระกูลแล็บท็อปนี้มีถึง 3 รุ่นย่อยด้วยกัน คือ ConceptD 5, 7 และ 9

โดยรุ่น ConceptD 5 และ 7 นั้น ดีไซน์เหมือนกัน คือเป็นแล็บท็อปที่ไม่สามารถพับหน้าจอ หรือถอดจอออกมาได้ รูปทรงเพรียวบาง มาในสีขาวนวล และพอร์ตการใช้งานที่ให้มาครบ ตั้งแต่ USB 3, USB-C, MiniDisplay, HDMI, ช่องเสียบสายแลน ช่องเสียบหูฟังและไมโครโฟน (เฉพาะรุ่น ConceptD 7 เท่านั้นที่ได้พอร์ตครบ) ด้วยตัวเครื่องที่เพียวบางนี้ ทำให้พัดลมระบายอากาศภายในเครื่องต้องเล็กลงตาม แต่ประสิทธิภาพนั้นตรงกันข้าม ระบายอากาศได้ดีและเสียงเงียบอีกด้วย

สำหรับสเปคของรุ่นนี้ Concept 5 จะใช้ซีพียู Intel Core-i5 และ Core-i7 เจเนอเรชั่นที่ 8 ชิปการ์ดจอใช้ของ AMD Readon RX Vega M GL มาพร้อมกับแรมแบบ DDR4 เลือกได้ว่าใช้แบบ 8 หรือ 16 กิกะไบต์ ส่วน ConceptD 7 จะใช้ซีพียู Intel Core-i7 เจเนอเรชั่นที่ 9 แทน และใช้ชิปการ์ดจอของ Nvidia Geforce RTX ซึ่งสามารถเลือกรุ่นย่อยได้ว่าจะใช้รุ่น 2080 z/ Max-Q หรือรุ่น 2060 แทน มาพร้อมกับแรม DDR4 ที่สามารถอัปได้สูงสุดถึง 32 กิกะไบต์ ทั้งสองรุ่นนี้ใช้หน้าจอ IPS จนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K

ถึงแม้เครื่องจะเพรียวบาง แต่น้ำหนักของเครื่องก็ยังเยอะอยู่พอสมควร ConceptD 5 หนักอยู่ที่ 1.5 กิโลกรัม ส่วน ConceptD 7 หนักที่ 2.1 กิโลกรัม

นอกเหนือจากนี้ ยังมีแล็บท็อปในสไตล์ Convertible คือสามรถใช้ในแบบแล็บท็อปทั่วไปก็ได้ หรือปรับรูปทรงให้ใช้งานเหมือนแท็บเล็ตก็ได้ อย่าง ConceptD 9 ที่มาพร้อมหน้าจอ IPS ขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K สเปคข้านใน ใช้ซีพียู Intel Core-i9 เจเนอเรชั่นที่ 9 มาพร้อมการ์ดจอ Nvidia Geforce RTX 2080 และแรม DDR4 สูงสุดถึง 32 กิกะไบต์ หน้าจอที่ใหญ่ขนาดนี้ เป็นหน้าจอที่รองรับการสัมผัส และรองรับการใช้งานปากกาเขียนแบบของ Wacom ได้ และน้ำหนักที่มากถึง 4.1 กิโลกรัม (ซึ่งขอแนะนำว่าตั้งไว้ทำงานบนโต๊ะดีกว่าพกออกไปทำงานนอกสถานที่…)

มอนิเตอร์ที่คมชัด ดีไซน์ที่แสนเรียบง่าย และสวนงาม

มากันที่มอนิเตอร์กันบ้าง ในซีรีส์ ConceptD ออกมาสองขนาดให้เลือกใช้งาน คือขนาด 27 นิ้ว ในชื่อ ConceptD CP7 และ 32 นิ้ว ในชื่อ ConceptD CP7

โดยในไซส์เล็กนั้น หน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K รองรับ Refresh Rate ที่ระดับ 144 เฮิรตซ์ มาพร้อมเทคโนโลยี Nvidia G-Sync ทำการซิงค์ Refresh Rate ของจอภาพให้ตรงกับ Frame Rate ของการ์ดจอ ถือว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับมอนิเตอร์ที่ใช้กับงานมืออาชีพ (ซึ่งมาพร้อมกับหน้าต่างกันแสงด้วย เพื่อให้การแสดงผลนั้นได้ค่าสีที่สมจริงที่สุด)

ส่วนไซส์ใหญ่มีขนาด 32 นิ้ว เป็นหน้าจอแอลดีดี ความคมชัดระดับ 4K โดยในจอรุ่นนี้ได้ใช้เทคโนโลยี Mini LED-based FALD Backlighting และยังสามารถทำ Local Dimming ได้

จอทั้งสองรุ่นนี้ รองรับค่าสี Adobe RGB ได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะรุ่น Conceptd cp7 ยังรองรับค่ามาตรฐานสี DCI-P3 ได้มากถึง 93 เปอร์เซ็นต์ และค่าสี Rec.2020 ถึง 89.5 เปอร์เซ็นต์

ปิดท้ายที่แว่นวีอาร์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำยุค

สำหรับสายงานออกแบบทางด้านเกม หรือเกี่ยวข้องกับเออาร์หรือวีอาร์ เอเซอร์ยังออกแว่นตา ConceptD Ojo รองรับการใช้งานในรูปแบบ Mixed Reality มาพร้อมกับความละเอียด 4320 X 2160 พิกเซล (ข้างละ 2160 X 2160 พิกเซล) รองรับการซิงค์เฟรมเรตที่ 90 Hz Refresh Rate และรองรับการเคลื่อนไหว 6 มิติ เซ็นเซอร์ภายในมีตั้งแต่ Accelerometer, Gyroscope, Magnetometer, และ Proximity Sensor, กล้องด้านหน้า 2 ตัว และมีลำโพงภายในตัว

สำหรับราคาที่มีการเปิดออกมานั้น มีตั้งแต่ราคา 1,699 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 54,000 บาท) ไปจนถึงราคา 19,999 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 635,000 บาท) ยกเว้น แว่น ConceptD Ojo ที่ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยออกมา โดยราคาและวันวางจำหน่ายเป็นไปดังนี้

พีซีเวิร์คสเตชั่น

ConceptD 500 ราคา 1,699 เหรียญสหรัฐ (~54,000 บาท) เริ่มจำหน่าย เดือนมิถุนายน
ConceptD 900 ราคา 19,999 เหรียญสหรัฐ (~635,000 บาท ใช้ Intel Xeon Gold 6148 40 Core เลยนะ) เริ่มจำหน่ายเดือนพฤษภาคม

แล็บท็อป

ConceptD 5 ราคา 1,699 เหรียญสหรัฐ (~54,000 บาท) เริ่มจำหน่าย เดือนเมษายน
ConceptD 7 ราคา 2,299 เหรียญสหรัฐ (~73,000 บาท) เริ่มจำหน่าย เดือนเมษายน
ConceptD 9 ราคา 4,999 เหรียญสหรัฐ (~159,000 บาท) เริ่มจำหน่าย เดือนเมษายน

มอนิเตอร์

ConceptD CP7271K ราคา 1,999 เหรียญสหรัฐ (~63,500 บาท) เริ่มจำหน่าย เดือนกรกฎาคม
ConceptD CM7321K ราคา 2,999 เหรียญสหรัฐ (~95,000 บาท) เริ่มจำหน่าย เดือนกันยายน

สำหรับการจัดจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ต้องรอตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยประกาศราคาและวันจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ที่มา: AnandTech