นอกจากการเปิดตัวซีพียูใหม่อย่าง Kirin 990 ที่สามารถรองรับการใช้งาน 5G แล้วนั้น ทางหัวเว่ย (Huawei) ยังมีการเปิดตัวสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์ตัวอื่นๆ บนเวที ภายในงาน IFA 2019 ณ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีอีกด้วย

Huawei FreeBuds 3

Huawei FreeBuds 3

Huawei FreeBuds 3

เริ่มต้นที่หูฟังบลูทูธของหัวเว่ยอย่าง FreeBuds 3 หูฟังบลูทูธรุ่นที่สามที่มีการผลิตออกมา ซึ่งในรุ่นนี้ มีการปรับปรุงหน้าตา ชิปเซ็ตภายใน และการใช้งานที่ทำได้ดีมากขึ้น โดยรูปลักษณ์และหน้าตามีการเปลี่ยนแปลง จากรุ่นก่อนที่ตัวกล่องใส่ (หรือกล่องชาร์จ) จะมาแบบทรงเหลี่ยมๆ มนๆ คล้ายๆ กับกล่อง AirPods ของทางแอปเปิ้ล ครั้งนี้เปลี่ยนดีไซน์มาแบบทรงกลมมน คล้ายๆ กับลูกฮอกกี้ ส่วนดีไซน์ของหูฟังนั้น มาในสไตล์คล้ายๆ กับ AirPods แต่ส่วนที่เป็นลำโพง มีดีไซน์คล้ายๆ กับหัวของโลมา ทำให้เสียงที่ออกมานั้นมีความคมชัด และรายละเอียดที่มากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงรูปทรงที่โค้งมน ทำให้การสวมใส่นั้นดีขึ้น กระชับ และเข้ากับหูมากกว่าเดิม

นอกเหนือจากดีไซน์แล้วนั้น FreeBuds 3 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Active Noise Cancellation ระบบตัดเสียงรบกวน ซึ่งถือเป็นหูฟังในรูปแบบ Open-Fit ตัวแรกของโลกที่สามารถทำได้ สามารถตัดเสียงรบกวนจากรอบข้าง หรือเลือกเปิดรับฟังแค่เพียงที่ต้องการก็ได้ โดยสามารถเปิดรับเสียงบรรยากาศแบบเบาๆ ได้ต่ำสุดที่ระดับ 15 เดซิเบล โดยต้องปรับผ่านแอปพลิเคชั่นของทางหัวเว่ย

ยังไม่พอ ยังมาพร้อมกับ Mic Duct หรือตัวกรองเสียงเข้าไมค์โครโฟนของหูฟัง ซึ่งเหมาะมากสำหรับการใช้งานระหว่างเดินทาง หรืออยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ไมโครโฟนที่อยู่ตามหูฟังทั่วๆ ไป เมื่อมีลมพัดเข้ามา คู่สนทนาหรือปลายสายจะได้ยินเสียงลมพัดเข้ามา และทำให้การได้ยินของคู่สนทนามีปัญหา คือฟังคำพูดจากเราไม่ชัดเจน แต่เมื่อมี Mic Duct แล้ว ปัญหาเรื่องเสียงของลมเข้ามาจะทุเลาเบาบางลง

ไมโครโฟนตัวนี้ ยังให้น้ำเสียงที่ชัดเจนกว่าเดิม เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายตัวอื่นๆ (ซึ่งในงานเปิดตัวครั้งนี้ หัวเว่ยได้ทดลองตัว FreeBuds 3 กับหูฟัง AirPods 2 ของแอปเปิ้ล ซึ่งถือว่าเสียงจากไมโครโฟนของ FreeBuds 3 นั้น ใสกว่า ได้ยินชัดกว่า และไม่มีเสียงรบกวนอื่นๆ อีกด้วย)

รวมไปถึงค่า Latency หรือการหน่วงจากการรับ-ส่งข้อมูลเสียง จากสมาร์ตโฟนมายังหูฟังนั้น FreeBuds 3 ถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นที่เคยออกมา โดยมีค่า Latency อยู่ที่ 190 มิลลิวินาที (190 ms) ซึ่งถือว่าน้อยลงมาก เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายจากหลากหลายแบรนด์ น้อยจนถึงขั้นที่ว่า ถ้าหากจะเล่นเกมโดยใช้หูฟังไร้สายแล้วนั้น สำหรับ FreeBuds 3 ไม่มีปัญหาแน่นอน

Huawei FreeBuds 3

ค่า Latency ที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับหูฟังตัวอื่น

และยังสามารถชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย กล่าวคือ ถ้าหากชาร์จไฟโดยใช้เวลา 30 นาที การชาร์จด้วยสายจะได้ไฟอยู่ที่ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการชาร์จแบบไร้สาย จะได้ไฟอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่พอ ยังสามารถใช้งานได้นานกว่าเดิม โดยการใช้งานทั่วๆ ไปนั้น สามารถใช้งานได้นานถึง 4 ชั่วโมง จากเดิมที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้แค่เพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น

สำหรับ Huawei FreeBuds 3 นั้น มีสีให้เสือกถึงสองสีด้วยกัน คือสีขาว และสีดำ

Huawei WiFi Q2 Pro

Huawei WiFi Q2 Pro

Huawei WiFi Q2 Pro

มาต่อกันที่ผลิตภัณฑ์ชิ้นที่สองที่มีการเปิดตัวภายในงาน หัวเว่ยได้เปิดตัวเราเตอร์ไร้สายสำหรับใช้ภายในบ้าน อย่าง Huawei WiFi Q2 Pro ซึ่งเราเตอร์ในรุ่นนี้ มีมาถึงสองขนาด คือตัวหลัก และตัวลูกที่ใช้งานในรูปแบบ Powerline Adapter

โดยที่การใช้งานนั้น จะพึ่งพาตัวหลัก หรือตัวแม่ ในการกระจายสัญญาณ ส่วนการใช้งานในพื้นที่อื่นๆ นั้น สามารถนำตัวอุปกรณ์ Powerline Adapter ไปเสียบที่ปลั๊กไฟ ตามจุดที่ต้องการใช้งานได้ ใช้งานในรูปแบบ Plug and Play ให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในบ้านนั้นครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

Huawei WiFi Q2 Pro

นอกเหนือจากนี้ ยังสามารถรองรับ Powerline Adapter ได้มากหลายตัว สูงสุดถึง 15 ตัว โดยที่ไม่ต้องตั้งค่าให้ยุ่งยาก แค่เพียงกดปุ่มที่ตัวหลักเท่านั้น Powerline Adapter ทุกตัวที่มีการใช้งาน จะทำการกระจายสัญญาณ และใช้ชื่อ SSID เป็นชื่อเดียวกันทั้งหมด ทำให้การเชื่อต่อของคุณไม่มีสะดุด เดินผ่านจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง ก็ไม่เจอการเน็ตหลุดอีกต่อไป (ใช้เวลาในการเปลี่ยนการรับสัญญาณจาก Adapter เพียง 100 มิลลิวินาที)

และที่สำคัญ ยังมี PLC Turbo ทำให้อินเทอร์เน็ตนั้นมีความเร็วมากถึง 200 Mbps

Huawei P30 Series: Mystic Blue & Misty Lavender

ริชาร์ด หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย พร้อมสมาร์ตโฟน Huawei P30 Series สี Mystic Blue และสี Misty Lavender

ริชาร์ด หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย พร้อมสมาร์ตโฟน Huawei P30 Series สี Mystic Blue และสี Misty Lavender

ปิดท้ายที่ไฮไลท์ในงานนี้ กับการเปิดตัวสีสันใหม่ของสมาร์ตโฟน Huawei P30 Series อย่างสีฟ้า Mystic Blue และสีม่วง Misty Lavender โดยที่บริเวณฝาหลังนั้น จะเป็นสีสันเป็นแบบทูโทน แบ่งออกแป็นสองส่วน: ส่วนบนจะเป็นพื้นผิวมันวาว (Glossy) และส่วนล่างของเครื่อง (ตั้งแต่ใต้เลนส์กล้องลงมา) จะเป็นพื้นผิวแบบด้าน (Matte) โดยใช้เทคนิคการพ่นทรายลงบนพื้นผิว ช่วยลดการเกิดรอยนิ้วมือบนหลังเครื่องนั่นเอง

Huawei P30 Series: Mystic Blue & Misty Lavender

สำหรับสี Mystic Blue ได้แรงบันดาลใจจากสีของท้องฟ้าที่สะท้อนจากพิ้นผิวทะเล ส่วนสี Misty Lavender นั้น คล้ายคลึงกับสีของชายหาด ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง

นอกเหนือจากสีสันใหม่ให้ได้เลือกกันแล้วนั้น Huawei P30 Series ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ มากกว่าเดิม อาทิ ฟีเจอร์ Super Night Selfie ช่วยเพิ่มความสว่างให้กับภาพ ทำให้การถ่ายภาพแบบเซลฟี่ยังคงมีความคมชัดสมจริง ทั้งตัวบุคคล และวุตถุประกอบอื่นๆ เช่น อาคารที่อยู่ด้านหลัง เป็นต้น

Huawei P30 Pro Night selfie

เทียบให้เห็นชัดๆ ไปเลย ว่าใครที่เหนือกว่าใคร กับการถ่ายเซลฟี่ในยามค่ำคืน

และปิดท้ายที่ EMUI10 ที่เปิดเผยภาพตัวอย่างให้ได้ชมกันภายในงาน จะพบว่า การดีไซน์ของไอคอนแอปต่างๆ รวมไปถึงหน้าต่างการใช้งาน มีการพัฒนาให้ดูเรียบกว่าเดิม และยังมาพร้อมกับ Dark Mode สามารถปรับรูปแบบการใช้งานให้สามารถถนอมสายตาผู้ใช้งานได้มากกว่าเดิม พร้อมทั้งยังสามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 10 ได้อีกด้วย

โดย EMUI10 นั้น ทางหัวเว่ยจะเปิด Open Beta ให้ดาวน์โหลดไปทดลองใช้งานกันได้ ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

สำหรับใครที่อยากรู้ว่า EMUI10 นั้นมีหน้าตาแบบไหนกัน จะดีกว่าเดิมหรือไม่นั้น สามารถติดตามได้จากคลิปนี้ได้เลย

Play video

ส่วนราคาและการวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น หากมีความคืบหน้า ทาง #Beartai จะรายงานให้ทราบโดยทันที