ตั้งแต่ทศวรรษที่ผ่านมาการเสพติดสมาร์ตโฟนถือเป็นปัญหาที่เห็นได้มากเป็นปกติ ผู้คนใช้เวลาอยู่กับโซเชียลมีเดียและเกมบนสมาร์ตโฟนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มากถึงขนาดที่มีการระบุโรค “nomophobia” ซึ่งเป็นโรคที่ผู้ใช้มีความวิตกกังวลเมื่อไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือไม่สามารถเข้าถึงบริการมือถือได้นั่นเอง

ในปี 2019 Asurion ได้เผยแพร่ผลการศึกษาที่ระบุว่า ชาวอเมริกันเช็กโทรศัพท์มือถือของตนเองเฉลี่ย 96 ครั้งต่อวัน หรือประมาณ 1 ครั้งต่อทุก ๆ 10 นาที (ไม่นับเวลา 8 ชั่วโมงที่เป็นการนอนหลับ)

ล่าสุดบริษัทได้ทำการอัปเดตผลการศึกษาในวันที่ 2 และ 9 มีนาคมในปีนี้ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกันหลายช่วงวัยจำนวน 2,000 ราย และพบว่า 3 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมระบุว่า การมีสมาร์ตโฟนนั้นจำเป็นมากกว่าการมีของหรูหรา และมีคนจำนวนถึง 20% ที่ตอบว่า ไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตโดยไม่มีสมาร์ตโฟนนานกว่า 2 – 3 ชั่วโมง

สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลการศึกษาพบว่า ประชาชนในยุค Baby Boomers (ช่วงอายุ 57-75 ปี) และ Gen X (41-56 ปี) ถึง 75% และ 76% คิดว่า มือถือเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งมากกว่า Gen Z (9-24 ปี) และ Gen Y (24-41 ปี) ที่ 71% และ 68% เห็นด้วยว่ามือถือเป็นสิ่งจำเป็น

ไม่เพียงเท่านั้น Asurion ยังพบว่า อัตราการเช็กมือถือนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากปี 2019 โดยในปี 2022 ชาวอเมริกันเช็กมือถือตัวเองเฉลี่ย 352 ครั้งใน 1 วัน นั่นหมายความว่า เฉลี่ยแล้วในทุก ๆ 3 นาที ชาวอเมริกันจะเช็กมือถือตนเอง 1 ครั้ง!

ที่มา: Techspot

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส