ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ฉลาดล้ำกำลังเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต เริ่มจากอุปกรณ์สื่อสาร และวิธีที่เราทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน เทคโนโลยีต่างได้นำประสิทธิภาพและพลังงานมาสู่อุตสาหกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ เราจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของนวัตกรรมมากขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน เลอโนโว (Lenovo) ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีชั้นนำแนวหน้าของโลกเผย 6 เทคโนโลยีที่จะเป็นกระแสหลักในปี 2566 และในอนาคตจะมีสิ่งใดน่าสนใจบ้าง? ติดตามได้ในบทความนี้

1.เทคโนโลยี ‘โฮโลแกรม’ ส่งต่อนวัตกรรมที่ล้ำสมัยให้แก่พนักงาน เพื่อการทำงานทางไกลที่ได้ประสิทธิภาพ

ยุคสมัยแห่งการทำงานแบบไฮบริด เทคโนโลยีได้นำพาเรารู้จักนวัตกรรมโลกเสมือนจริง อย่าง ‘โฮโลแกรม’ ก็เป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อคนในทีมให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้พรมแดน ถึงแม้ว่าจะอยู่กันคนละทวีปก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงทางด้านยุคสมัย มีผลทำให้เทคโนโลยีไฮบริดมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนองาน, การจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ หรือการประชุมร่วมกับแต่ละองค์กร เทคโนโลยี ‘โฮโลแกรม’ ได้เผยรูปแบบการนำเสนองานใหม่ให้แต่ละองค์กร มีทั้งนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับวัตถุเสมือนจริงได้ เช่น การแสดงต้นแบบ หรือการสร้างแบบจำลองโมเดลเสมือนจริงจากโลกแห่งความเป็นจริง

2.อุปกรณ์ที่ปรับรูปแบบตามการใช้งานของผู้ใช้ สามารถตอบโจทย์ทุกวิถีชีวิต การทำงาน และการเล่นเกม

เมื่อไม่กี่ปีมานี้เราจะเห็นกระแสการมาของสมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้ซึ่งเทคโนโลยีนี้ทำให้พื้นที่การทำงานของเรามากยิ่งขึ้นเพราะขนาดเครื่องมีขนาดเท่าเดิมแต่กลับได้ขนาดของหน้าจอมาแทน ล่าสุดมาถึงคิวของแล็บท็อปกันบ้างแล้ว อย่างเช่น Lenovo ThinkPad X1 Fold แล็บท็อปที่มีขนาด 16 นิ้วเจนเนอเรชันถัดไปของเลอโนโว ที่สามารถปรับแต่งรูปแบบการใช้งานให้เป็นแบบพับได้

Lenovo ThinkPad X1 Fold

ด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ จึงสามารถเปิดแท็บการทำงานได้หลากหลายจอพร้อมกัน อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อถ่าย, ตัดต่อวิดีโอ, สตรีมเกม และกิจกรรมอื่น ๆ และในอนาคต เป็นไปได้ที่เทรนด์ของโทรศัพท์พกพาของเราอาจมีขนาดเล็กลงมากกว่าเดิมแต่จะสามารถ ‘ขยาย’ หรือ ‘กางออก’ ในเวลาที่ต้องการใช้งานได้ และด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ทำให้อุปกรณ์ธรรมดาสามารถเปลี่ยนเข้าสู่โหมดการทำงานได้ด้วยการสัมผัสเพียงปุ่มเดียว

และในปีนี้ด้าน Lenovo และ Motorola ได้เปิดตัวอุปกรณ์รุ่นบุกเบิกถึง 2 รุ่นด้วยกัน ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์แห่งอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด เตรียมพร้อมผู้ใช้งานเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีไฮบริดในอนาคตอย่างเต็มรูปแบบ

นอกจากนี้ทีมวิจัยนวัตกรรม Motorola’s 312 Labs ได้ออกแบบสมาร์ตโฟนสุดล้ำที่สามารถยืดได้สูงถึง 4.5 นิ้ว สามารถพกติดกระเป๋าได้ง่ายกว่าอุปกรณ์ระดับพรีเมียม ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการพื้นที่หน้าจอมากขึ้น (สำหรับการทำงาน หรือ เพื่อผ่อนคลายไปกับภาพยนตร์และเกม) สมาร์ตโฟนนี้จะสามารถขยายออกจากจอแสดงผล จากขนาด 5 นิ้ว เป็น 6.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่เทียบเท่ากับอุปกรณ์ชั้นนำในตลาด

เลอโนโววิเคราะห์และทดสอบโน๊ตบุ๊กพีซีรุ่นม้วนพับหน้าจอได้ โดยจอสกรีนสามารถยืดขยายได้ถึง 15.3 นิ้ว ขนาดของหน้าจอที่สามารถขยายเพิ่มได้ เพื่อทวีประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งเหมาะสำหรับการทำงานในยุคปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ การม้วนของหน้าจอจะยืดออกตามคำสั่งของมอเตอร์ด้านในตัวแล็ปท็อป ดังนั้นผู้ใช้จะยิ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความยืดหยุ่นได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น

3. Metaverse กำลังจะเปลี่ยนวิถีการทำงานของเรา

ในยุคที่โลกแห่งอนาคตอย่าง Metaverse กำลังเข้าใกล้สู่ความจริงมากขึ้น หากแต่ไม่ใช่อาณาจักรของการ์ตูน เกม และการเล่นในโลกแห่งจินตนาการ แต่ในทางกลับกันโลกเสมือนจริงนั้นจะถูกขับเคลื่อนและมีบทบาทในโลกแห่งการทำงานแทน

หากจะเปรียบถึงวิวัฒนาการของ Metaverse แล้วนั้น ขณะนี้เราก็อาจจะกำลังอยู่ในช่วงกลาง ๆ ของยุค 90 เทียบเท่ากับช่วงที่เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัว ซึ่งนับเป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ที่อยู่เพียงแค่เอื้อม เพราะเรามีสิ่งที่เรียกว่า Enterprise Metaverse หรือ Metaverse สำหรับองค์กรที่ผลักดันการนำเอาเทคโนโลยีและ Metaverse มาปรับใช้ในการทำงาน ซึ่งพนักงานสามารถประสานงาน แชร์ไฟล์เอกสาร และทำงานร่วมกันได้ในพื้นที่เสมือนจริงได้ เช่น โปรแกรมจำลองการทำงาน (job simulators) ซึ่งอิงมาจากเกมจำลองการบิน หรือแม้แต่การฝึกอบรมแบบเสมือนจริง

ThinkReality VRX

โซลูชั่น หรือผลิตภัณฑ์ของเลอโนโว อย่าง ThinkReality VRX กำลังจะวางจัดจำหน่ายในตลาดเร็ว ๆ นี้ เพื่อสนับสนุนและช่วยให้พนักงานในองค์กรสามารถใช้โปรแกรมโลกเสมือนจริงในการทำงาน และฝึกอบรมร่วมกันได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่ายิ่งขึ้น

4. ร้านค้าต่าง ๆ จะชาญฉลาดขึ้นด้วยระบบอัจฉริยะ

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางของชีวิตประจำวัน และโลกรอบ ๆ ตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การช็อปปิ้ง ในอนาคตอันใกล้นี้ เซิร์ฟเวอร์ AI อาจสามารถทำการวิเคราะห์วิดีโอจากกล้องวงจรปิดจำนวนหลายตัวที่ติดตั้งบริเวณช่องทางเดินของร้านค้า เพื่อเฝ้าดูสินค้าจำนวนมากที่ถูกนำออกในช่วงเวลาเดียวกัน รวมทั้งยังสามารถช่วยตรวจสอบการส่งมอบสินค้าไปยังสโตร์เพื่อให้แน่ใจว่ารายการสินค้ายังมีคงมีอยู่ในคลัง สิ่งนี้นอกจากจะช่วยให้ร้านค้าติดตามและเช็คสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มอัตรากำไร พร้อมทั้งช่วยให้ร้านปรับตัวเข้ากับอุปสงค์ อุปทานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับสิ่งที่พวกเขาซื้อไป

และเมื่อลูกค้าทำการ ‘คลิกและสั่งซื้อ’ กล้อง AI จะคอยจับตาดูเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับรายการสินค้าครบและตรงตามที่สั่ง นอกจากนี้การมีกล้อง AI ยังช่วยตัดขั้นตอนอันแสนกวนใจอย่างส่วนของการชำระเงินด้วยตนเองออกไปได้อีกด้วย

5. Multi-Access Edge Computing (MEC) ตัวขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ

ในอนาคต กล้องอัจฉริยะจะสามารถดูแลจัดการระบบจราจรใน ‘เมืองอัจฉริยะ (Smart Cities)’ ได้ ทั้งช่วยลดทอนมลพิษ ความแออัด และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเซิร์ฟเวอร์ Edge Computing จะเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิต ตั้งแต่การเรียนการสอนผ่านภาพสามมิติแบบโฮโลแกรม ไปจนถึงการช้อปปิ้งที่เพิ่มมากขึ้น

ทำไมถึงต้องใช้ Edge Computing? แทนที่จะต้องเดินทางไปยังศูนย์ข้อมูลที่อยู่ห่างไกล เราสามารถใช้ Multi-access edge Computing (MEC) เพื่อรับคำขอในการประมวลผลและสามารถตอบคำถามได้ภายในเสี้ยววินาที ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เองภายในเมืองอัจฉริยะ

ในอนาคต Edge Computing จะมีศักยภาพไปสู่การช่วยให้เมืองต่าง ๆ สามารถบรรลุเป้าหมายในการต้านมลพิษได้ด้วยการควบคุมสัญญาณไฟจราจร เพื่อให้รถยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยวิธีที่ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น

6. การทำงานแบบผสมผสาน หรือ ไฮบริด จะช่วยเปิดทางให้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้น

ปัจจุบันผู้คนมีวิถีการทำงานที่เปลี่ยนไป และในอนาคตก็จะยิ่งพัฒนาเพิ่มขึ้นจนไปสู่การทำงานในพื้นที่ไฮบริดแบบใหม่ โดยบริษัทต่าง ๆ จะหันไปใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เช่น การใช้เซนเซอร์อัจฉริยะในการยืมใช้อุปกรณ์สำนักงาน ไปจนถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในออฟฟิศได้ด้วยตนเอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยลดอัตราค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจใหม่ รวมทั้งยังทำให้บริษัทรุ่นใหม่ทั้งหลายสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นยิ่งขึ้น

โดยเลอโนโวนำเสนอระบบการบริหารจัดการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่พนักงานในองค์กร โดยบริษัทสามารถเช่าโซลูชัน หรือ ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีในที่ทำงานของแบรนด์ แทนฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ ตัวอย่างเช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที การซัปพอร์ตและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ตลอดจนการบริการของโครงสร้างพื้นฐานของข้อมูล และบนระบบคลาวด์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองของ Lenovo ต่อเทคโนโลยีอันชาญฉลาดที่สามารถขับเคลื่อนโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้ ที่นี่

บทความจากเลอโนโว

เนื้อหาล่าสุด

Honda จับมือ GS Yuasa สร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

Honda จับมือ GS Yuasa ลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายกำลังการผลิตเบื้องต้นที่ 20 กิกะวัตต์ชั่วโมง

ดีไซเนอร์ สนีกเกอร์ นำตัวละครจากมาริโอมาสร้างสรรค์รองเท้ารุ่นดังในชื่อ “What the Super Mario.”

ดีไซเนอร์ สนีกเกอร์ นำตัวละครจากมาริโอมาสร้างสรรค์รองเท้ารุ่นดังในชื่อ “What the Super Mario.”

SpaceX กำลังจะปล่อยดาวเทียมสื่อสาร O3b mPOWER 3 และ 4 ให้กับ SES

สเปซเอ็กซ์กำลังจะปล่อยภารกิจ SES O3B MPOWER ในการขนส่ง 2 ดาวเทียมบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต O3b mPOWER 3 และ 4 ให้กับ SES ด้วยจรวด Falcon 9 ไปยังวงโคจรระดับกลางของโลก ...อ่านต่อ

PlayStation Productions อยู่ในระหว่างสร้าง 10 โปรเจกต์ที่มีทั้งภาพยนตร์, ซีรีส์ และแอนิเมชัน

PlayStation Productions ประกาศอย่างเป็นทางการว่าอยู่ในระหว่างสร้าง 10 โพรเจกต์ ที่มีทั้งภาพยนตร์ฉายในโรง, ทีวีซีรีส์ และการ์ตูน