หลังประสบชัยชนะในสงครามครั้งก่อน ๆ หน้า ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 รวมไปถึงสงครามเกาหลี ‘สงครามเวียดนาม’ คือสงครามแรกที่ประเทศมหาอำนาจ ‘ตำรวจโลก’ อย่างสหรัฐอเมริกา ต้องพ่ายแพ้ หลังใช้เวลาร่วม 2 ทศวรรษในการส่งกำลังทหาร กำลังเงิน และกำลังอาวุธ เข้าไปสู่เวียดนามใต้ เพื่อรับมือพวกเวียดกงที่มีเวียดนามเหนือหนุนหลัง ซึ่งไม่ใช่แค่ 3 ประเทศนี้เท่านั้นที่เข้ามามีส่วนร่วม แต่ยังดึงพันธมิตรเข้ามาวุ่นวายด้วย และไม่ต่างไปจากสงครามครั้งก่อน ๆ หน้า ที่เรื่องราวการรบ ความเป็นไปของสงคราม ผู้คนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลกระทบจากสงครามจะถูกนำมาบอกเล่าบนจอภาพยนตร์ และนี่คืองานหนังสงครามเวียดนามที่บอกเลยว่า ‘ห้ามพลาด’ และ ‘ต้องหามาชม’

Apocalypse Now (Credit: Zoetrope Corp.)

APOCALYPSE NOW (1979)

ผู้กำกับ: ฟรานซิส ฟอร์ด ค็อปโพลา (Francis Ford Coppola)

จากหนังสือ ‘Heart of Darkness’ ของ โจเซฟ คอนราด (Joseph Conrad) แต่เปลี่ยนที่เกิดเหตุจากเบลเจียน คองโก เป็นเวียดนาม ที่นำเสนอภาพความเลวร้ายของสงคราม ซึ่งเกาะกินผู้คนได้อย่างดิ่งลึก มาร์ติน ชีน (Martin Sheen) เป็นทหารอเมริกันที่ไปปฏิบัติภารกิจลับในป่าลึกของเวียดนาม ด้วยการ ‘เก็บ’ ผู้พันเคิร์ตซ์ (Kurtz) ทหารกรีนเบเรต์ (Green Beret) ที่รับบทโดยมาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) ซึ่ง ‘หลุด’ จากความเป็นไปของโลก และทำตัวเหมือนพระเจ้าของผู้คนใต้การปกครอง หนังครบเครื่องทุกด้าน การแสดงโดดเด่น โปรดักชันเนี้ยบ การบอกเล่าประเด็นต่าง ๆ ทั้งสภาพจิตใจของผู้คน ความวิกลจริตและไร้สาระของสงคราม รวมทั้งวิธีคิดแบบจักรวรรดินิยม ถูกนำเสนอในเชิงสัญลักษณ์ จนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพสงครามแบบแอบสแตร็กต์ (Abstract)

ห้ามพลาดเพราะ: แม้ออสการ์จะเมิน แต่นี่คือมาสเตอร์พีซของทั้งค็อปโพลาและหนังสงครามเวียดนาม

The Deer Hunter (Credit: Universal Pictures)

THE DEER HUNTER (1978)

ผู้กำกับ: ไมเคิล ชิมิโน (Michael Cimino)

หนัง 5 รางวัลออสการ์ ซึ่งรวมถึงหนัง, ผู้กำกับ และสมทบชายเยี่ยม (คริสโตเฟอร์ วอลเคน – Christopher Walken) เรื่องของเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่ไปสงครามเวียดนาม โดยหวังจะได้เกียรติยศกลับมา แต่หลังจากโดนเวียดกงจับตัว และตกเป็นผู้เล่นในเกมรัสเซียนรูเล็ตต์ (Russian Roulette) เพื่อความบันเทิงของพวกมัน พวกเขาก็ถูกทำลายโดยสมบูรณ์จากสงคราม ขณะที่หนังสงครามเวียดนามเรื่องอื่นจะมีภาพสงครามที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่หนังเรื่องนี้ซึ่งบางส่วนถ่ายทำในบ้านเรา ‘แตกต่าง’ เมื่อเผยจิตใจที่ถูกทำลายโดยสงครามของคนธรรมดา ๆ จากเมืองเล็ก ๆ ที่ยากจะหาพื้นที่ของตัวเองในโลก เมื่อกลับมาบ้านพร้อมการสูญเสีย สิ้นหวัง และหดหู่ ที่บางคนก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเพื่ออะไร และบางรายก็รับไม่ไหว

ห้ามพลาดเพราะ: งานขึ้นหิ้งที่แสดงให้เห็นว่า สงครามทำความเสียหายให้สังคม หรือศีลธรรมของผู้คนได้ขนาดไหน และยังเปิดทางให้หนังเกี่ยวกับสงครามเวียดนามเรื่องต่อ ๆ มา

Full Metal Jacket (Credit: Warner Bros.)

FULL METAL JACKET (1987)

ผู้กำกับ: สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick)

การเล่าเรื่องของหนังแบ่งแยกจากกันชัดเจน ครึ่งแรกคือเหตุการณ์ในค่ายฝึก ที่ทารุณทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเหล่าทหารหน้าใหม่ จนหนึ่งในจำนวนนั้นกลายเป็นฆาตกร ส่วนครึ่งหลังเป็นเรื่องของพลทหารเดวิส (รับบทโดย แมทธิว โมดีน – Matthew Modine) หนึ่งในผู้เข้ารับการฝึกจากครึ่งแรก ที่เผชิญหน้ากับข้าศึกในสงครามเวียดนาม ที่เล่นงานพวกเขาซึ่งผ่านการฝึกให้เป็นนักฆ่าได้อยู่หมัด ทั้งที่… (หาคำตอบได้ในหนัง) ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ความล้มเหลวของการเข้าสู่สงครามเวียดนามของสหรัฐอเมริกาถูกนำเสนอ ครึ่งหลังของหนังไม่ใช่แตกต่างแค่เรื่องราว แต่โทนยังผิดแผกจากกัน จากบรรยากาศเหนือจริงในครึ่งแรก สู่ความสมจริงในครึ่งหลังที่เหมือนตอกย้ำว่า ชัยชนะที่หวังถึงของมหาอำนาจอเมริกัน มันคือเรื่องเพ้อฝัน เพราะความจริงมันโหดร้ายยิ่งกว่า

ห้ามพลาดเพราะ: ความแข็งแรงของครึ่งแรกส่งให้เป็นหนังสงครามเวียดนามคลาสสิก ส่วนประเด็นที่รับต่อโดยครึ่งหลัง ก็ทำให้เห็นว่าสงคราม ‘ฆ่า’ หรือ ‘ทำลาย’ คน ตั้งแต่ยังไม่อยู่ในสนามรบ

Platoon (Credit: Orion Pictures)

PLATOON (1986)

ผู้กำกับ: โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone)

การเล่าเรื่องของตัวละครที่รับบทโดยชาร์ลี ชีน (Charlie Sheen) ไม่ต่างไปจากการเล่าประสบการณ์ตรงของสโตน ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกเวียดนาม หนังเผยสภาพที่ทหารอเมริกันต้องเจอ ในเวียดนามและกลายเป็นสาเหตุความล้มเหลว เมื่อต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้รู้ว่า ศัตรูของตัวเองคือใคร? อยู่ที่ไหน? และจุดมุ่งหมายที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ที่นี่? ที่เมื่อรวมเข้ากับความตึงเครียดของเหตุการณ์ มันก็นำไปสู่ความขัดแย้งทั้งระหว่างทหารอเมริกันกับชาวเวียดนาม และระหว่างทหารอเมริกันด้วยกันเอง ความดีกับความเลว ที่กัดกร่อนความเป็นมนุษย์ในตัวไปเรื่อย ๆ จนเกิดโศกนาฏกรรมของผู้บริสุทธิ์ และการฆาตกรรมความบริสุทธิ์ของตัวละคร

ห้ามพลาดเพราะ: คว้าออสการ์หนังเยี่ยมกับผู้กำกับเยี่ยม เป็นหนังเรื่องแรกในไตรภาคสงครามเวียดนามของสโตน ที่ตามมาด้วย ‘Born on the Fourth of July’ และ ‘Heaven & Earth’ และติดทุกลิสต์ของหนังสงครามเวียดนามยอดเยี่ยมหรือต้องดู

Born on the Fourth of July (Credit: Universal Pictures)

BORN ON THE FOURTH OF JULY (1989)

ผู้กำกับ: โอลิเวอร์ สโตน

จากเรื่องของตัวเอง (‘Platoon’) สโตนหยิบเอาเรื่องของรอน โควิก (Ron Covic) ‘คอหนัง’ (ฉายาของนาวิกโยธิน ที่ได้มาเพราะมีการสอดแผ่นหนังลงในเครื่องแบบบริเวณคอเสื้อ) ในสงครามเวียดนาม ที่กลายมาเป็นพวกแอนตี้สงคราม มาขึ้นจอ ที่ทำให้ได้ออสการ์กำกับเยี่ยมตัวที่ 2 และ ทอม ครูซ (Tom Cruise) ในบทโควิกที่ไม่ใช่โควิดได้ชิงนำชาย หนังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่สังคมอเมริกัน ปฏิบัติต่อทหารหาญได้อย่างถึงแก่น โดยเฉพาะในสงครามเวียดนาม ผ่านชีวิตและประสบการณ์ของโควิก นับตั้งแต่จากปลุกเร้าจนเหมือนเป็นฮีโรในตอนเริ่มต้น และเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งเมื่อกลับมาอย่างผู้แพ้ ในสงครามที่มีผู้คนไม่เห็นด้วย แล้วเมื่อต้องอยู่ในสภาพของคนพิการ อัมพาตท่อนล่าง ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต (พวก) เขาก็เหมือนกับถูกหักหลัง และกลายเป็นแรงขับให้เจ้าตัวไปอยู่ขั้วตรงข้าม

ห้ามพลาดเพราะ: หนังยังชิงออสการ์หนังกับบทดัดแปลงยอดเยี่ยม ส่วนบทรอน โควิกก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในการแสดงที่ ‘ดี’ ที่สุด ที่ทอม ครูซ มอบให้กับโลกใบนี้

Good Morning, Vietnam (Credit: Buena Vista Pictures)

GOOD MORNING, VIETNAM (1987)

ผู้กำกับ: แบร์รี เลวินสัน (Barry Levinson)

เด่นด้วยการแสดงที่เป็นการด้นสดของโรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams) ในบทแอเดรียน โครนาวร์ (Adrian Cronauer) ดีเจสถานีวิทยุกล่อมขวัญทหารอเมริกันในสงครามเวียดนาม ที่มีตัวตนอยู่จริง หนังนำเสนอมุมมองของสงครามผ่านสายตาคนที่ไม่ได้อยู่ในสนามรบ ทำให้ได้เห็นภาพใหม่ ๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งเรื่องการนำเสนอข่าวสาร ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ที่บางครั้ง ‘ความจริง’ ก็ควรพูดในตอนปิดไมค์ และในความโหดเหี้ยมของสงคราม ก็มีความอบอุ่นและสวยงามให้สัมผัส แต่ก็อาจถูกทำลายได้ในพริบตา หลังความรุนแรง อัปลักษณ์ของสงคราม ก้าวเข้ามา เช่นที่โครนาวร์ได้รับรู้ และทำให้ความคิดต่อสงครามของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ห้ามพลาดเพราะ: หากบอกว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุด เต็มไปด้วยพลังที่สุดของวิลเลียมส์ก็คงได้ หนังก็นำเสนออีกด้านของสงครามและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้คนได้อย่างลงตัว เป็นขั้นเป็นตอน และมี … จินตหรา สุขพัฒน์ในบทสาวเวียดนาม ที่วิลเลียมส์ตามตื๊อ

Casual of War (Credit: Sony Pictures)

CASUALTIES OF WAR (1989)

ผู้กำกับ: ไบรอัน เดอ พัลมา (Brian De Palma)

ได้แรงบันดาลใจจากบทความของ แดเนียล แลง (Daniel Lang) ในนิวยอร์กเกอร์ เมื่อปี 1968 ซึ่งมีที่มาจากเหตุการณ์ในปี 1966 ที่สาวเวียดนามคนหนึ่งถูกพาตัวไปจากหมู่บ้านโดยทหารอเมริกัน ก่อนที่จะถูกข่มขืนแล้วฆ่า หนังแสดงด้านมืดของสงครามได้อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับบัญชาเลือกจะใช้อำนาจตามความพอใจของตัวเอง และความเห็นแย้งจากทหารชั้นผู้น้อย กลายเป็นการท้าทายสายการบังคับบัญชา และสร้างความวุ่นวาย เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนล้วนได้รับบาดแผลจากสงครามเช่นที่ชื่อหนังว่าเอาไว้

ห้ามพลาดเพราะ: นอกจากภาพชีวิตทหารอเมริกันในสงครามเวียดนาม ที่ไม่ได้สวยงาม และต้องต่อสู้กับตัวเอง และพวกเดียวกันเอง เมื่อการละเมิดศีลธรรมเกิดขึ้น ยังเป็นการขึ้นจอในบทหนัก ๆ ของ ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ (Michael J. Fox) ที่เล่นเป็นพลทหารที่รักความถูกต้อง ประกบกับนายอย่าง ฌอน เพนน์ (Sean Penn) อีกด้วย

Rescue Dawn (Credit: MGM)

RESCUE DAWN (2006)

ผู้กำกับ: เวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก (Werner Herzog)

เรื่องของดีเทอร์ เดงเลอร์ (Dieter Dengler) นักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เครื่องถูกยิงตกในลาว ปี 1966 ระหว่างปฏิบัติภารกิจในสงครามเวียดนาม เขาถูกจับขังและทรมานอยู่นานหลายเดือน ก่อนจะหนีออกมา โดยต้องเดินทางผ่านป่าทึบ และหาทางรอดจากการตามล่าถึง 3 สัปดาห์ ถึงได้รับความช่วยเหลือ หนังได้ คริสเตียน เบล (Christian Bale) มาเป็นเดงเลอร์ ซึ่งอุทิศตัวให้กับบทอย่างเต็มที่ ทั้งการแสดงและภาพลักษณ์ที่ต้องกลายเป็นคนขาดอาหาร และถูกทรมานในสถานที่คุมขัง

ห้ามพลาดเพราะ: นี่คืองานที่นำเสนอภาพเชลยศึกในสงครามได้อย่างน่าพรั่นพรึง ขณะที่การเดินทางสู่อิสรภาพของตัวละคร ก็เป็นอีกหนึ่งการต่อสู้ครั้งสำคัญ ทั้งกับตัวเอง และสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งเฮอร์ซ็อกสามารถสร้างบรรยากาศเฉพาะที่น่าทึ่ง จากงานด้านภาพและดนตรีประกอบ จนกลายเป็นอีกตัวละครหรือองค์ประกอบสำคัญของเรื่องได้สำเร็จ

Hamburger Hill (Credit: Vestron Video)

HAMBURGER HILL (1987)

ผู้กำกับ: จอห์น เออร์วิน (John Irvin)

เพราะออกฉายในปีเดียวกับหนังสงครามเวียดนามเรื่องเยี่ยม ๆ อย่าง ‘Good Morning, Vietnam’ และ ‘Full Metal Jacket’ เลยที่ถูกมองข้าม เพราะไม่ใช่งานของผู้กำกับใหญ่ ไม่มีนักแสดงดัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นงานที่อยู่ในลิสต์หนังสงครามเวียดนามที่ห้ามพลาด โดยมีที่มาจากเหตุการณ์จริงสมรภูมิเลือดในวันที่ 10-21 พฤษภาคม 1969 ที่เนินแฮมเบอร์เกอร์ หรือเนิน 937 ซึ่งกองทหารอเมริกันเสียกำลังพลไปไม่น้อย ว่ากันว่าถึงราว ๆ 500 นาย และบาดเจ็บอีกนับร้อย สภาพจิตใจและร่างกายของทหารแต่ละรายก็ถูกเล่นงานอย่างหนัก กว่าจะบุกยึดสำเร็จ แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้ถอนหารออกไป

ห้ามพลาดเพราะ: แสดงให้เห็นความไร้สาระ หรือการวางกลยุทธ์แบบไม่มีจุดหมาย ในสมรภูมิครั้งนี้ของสหรัฐอเมริกาอย่างเด่นชัด รวมถึงนำเสนอภาพการรบได้อย่างดุเดือดสมจริง

Coming Home (Credit: United Artists)

COMING HOME (1978)

ผู้กำกับ: ฮัล แอชบี (Hal Ashby)

งานดรามาที่อยู่ใต้เงาแห่งความสำเร็จของ ‘The Dear Hunter’ ที่ออกฉายในปีเดียวกัน แม้จะทำให้จอน วอยต์ (Jon Voight) และเจน ฟอนดา (Jane Fonda) คว้ารางวัลออสการ์นำชายและหญิงก็ตาม ฟอนดารับบทเป็นหญิงสาวที่ระหว่างสามีไปรบในเวียดนาม ก็มาเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และได้เจอทหารผ่านศึกเวียดนามที่กลายเป็นอัมพาตท่อนล่าง (วอยต์) และมีความสัมพันธ์กัน โดยฝ่ายชายยังต้องหาสมดุลของชีวิตอีกครั้ง หลังผ่านประสบการณ์ในสงคราม แล้วมาเจอกับการไม่เป็นที่ต้อนรับของประเทศบ้านเกิดเมืองนอน

ห้ามพลาดเพราะ: ไม่ใช่แค่ได้รางวัลนำชายและหญิง หนังยังเข้าชิงรางวัลแกรนด์สแลมของออสการ์ครบอีกด้วย

BONUS:

ยังมีหนังสงครามเวียดนามที่น่าสนใจ และน่าหามาชมอีกหลายเรื่อง อาทิ ‘We Were Soldiers’ การรบครั้งแรกของทหารอเมริกันกับเวียดนามเหนือในสมรภูมิที่ลาดรัง (La Drang) ซึ่งได้รับคำชมสำหรับการสร้างฉากรบ, ‘First Blood’ หนัง ‘Rambo’ เรื่องแรก ที่แสดงให้เห็นการปฏิบัติที่คนอเมริกันบางกลุ่ม กระทำต่อทหารผ่านศึกเวียดนาม ซึ่งนำเสนอได้อย่างสุดขั้วแบบหนังแอ็กชัน ที่แม้จะมีหนังภาคต่อตามมา แต่ก็เพื่อความบันเทิงมากกว่าจะมีหมายเหตุทางสังคม เช่นเรื่องนี้, ‘Birdy’ ผลพวงจากสงครามที่เกิดกับร่างกายและจิตใจของทหาร ที่บอกเล่าผ่านตัวละคร 2 คน ที่รับบทได้อย่างยอดเยี่ยมโดย แมทธิว โมดีน และนิโคลาส เคจ (Nicolas Cage), หนังเอเชียก็มี ‘Bullet in the Head’ ของจอห์น วู (John Woo) ซึ่งนำเสนอภาพความวุ่นวายช่วงสงครามพีกสุด ๆ ที่หลาย ๆ คนเข้าไปตักตวงผลประโยชน์จากธุรกิจเทา ๆ ดำ ๆ ที่เมื่อรวมเข้ากับการเอาตัวรอด ก็สามารถทำลายมิตรภาพของใครหลาย ๆ คนได้ รวมถึงหนังสงครามเวียดนาม ‘Da 5 Blood’ ของสไปก์ ลี (Spike Lee) ที่เหมือนจะประกาศออกมาว่า นอกจากคนผิวขาวที่ไปรบในสงครามเวียดนาม คนผิวดำก็มี แล้วก็เสียชีวิต และได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน

อ้างอิง:
01 02 03 04 05

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

เนื้อหาล่าสุด

ลือ!! iPhone และ Apple Watch เตรียมตรวจจับรถชน พร้อมโทรเบอร์ฉุกเฉินให้อัตโนมัติ เริ่มปีหน้า

แอปเปิ้ล (Apple) มีแผนที่จะเพิ่มฟีเจอร์ให้กับ iPhone และ Apple Watch ให้อุปกรณ์สามารถตรวจจับอุบัติเหตุรถชนได้ พร้อมโทรเบอร์ฉุกเฉินอย่าง 911 ให้โดยอัตโนมัติ

คริส แพรตต์ จะให้เสียงพากย์เป็น Garfield ในแอนิเมชันเรื่องใหม่ล่าสุด

Alcon Entertainment ผู้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน 'Garfield' ได้เลือกให้พระเอกหนุ่ม คริส แพร็ตต์ (Chris Pratt) มาพากย์เสียงเป็นเจ้าแมวอ้วนสีเหลืองจอมเจ้าเล่ห์นี้

Kingston เปิดตัวหน่วยความจำใหม่ DDR5 พร้อม PCIe 4.0 NVMe SSD เพื่อเหล่าเกมเมอร์

เปิดศักราชใหม่แห่งการเล่นเกมไปกับ Kingston FURY แบรนด์ประสิทธิภาพสูงของ Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก ...อ่านต่อ

ทีเซอร์ใหม่ ‘Morbius’ เผยรายละเอียดตัวละครพร้อมวันปล่อยตัวอย่างใหม่ แฟน ๆ รอได้เลย!

Sony Pictures ปล่อยทีเซอร์ 'Morbius' พาเราไปรู้จักตัวละครผ่านมุมมองความรู้สึกของผู้รับบทอย่าง จาเรด เลโท พร้อมเผยวันปล่อยตัวอย่างใหม่