ในวาระเล่มจบ ก็ขอเล่าย้อนไปตั้งแต่ มีนาคม ปี 2555 การ์ตูนไทยจากค่ายสยามอินเตอร์คอมมิกส์เรื่องหนึ่งได้ออกมาพบปะแฟนการ์ตูนตามแผงหนังสืออย่างเงียบๆ ด้วยชื่อและเรื่องราวที่ไทยมากๆอย่าง แว่วกริ่งกังสดาล (Listening to the Bell) หลายคนก็มีความรู้สึกอี๋ไม่น้อยว่าพวกการ์ตูนยัดเยียดความเป็นไทยมาอีกแล้ว แต่แฟนบางส่วนก็ออกมาให้กำลังใจความตั้งใจดีของคนวาดและค่ายอยู่เหมือนกันที่กล้าลองอะไรแบบนี้ในตลาดไทย

ผมเริ่มจำชื่อ หมู-โกสินทร์ จีนสีคง คนเขียนเรื่องนี้ได้ จากงานสายการ์ตูนโปรโมทหนังไทยมาก่อน เพราะส่วนตัวก็ชอบทั้งหนังไทยและการ์ตูนไทย หลักๆที่จำได้ก็พวกหนัง GTH นั่นล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น, ห้าแพร่ง แล้วก็มีค่ายอื่นๆแซมมาบ้างอย่าง อนึ่งคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง, รูมเมท และอีกหลายๆเรื่อง ซึ่งก็มีทั้งวาดร่วมกับนักเขียนอื่นลงเป็นตอนย่อยๆและทั้งที่เขียนเองทั้งเล่ม ต่อมาจึงได้ซื้ออ่านงานออริจินัลของเขาจากร้านมือสองทั้ง Let’s Rock และ Crossroad งานดนตรีร็อกที่ช่วงนั้นกระแสมังงะสายดนตรียังคงรุนแรงไม่ว่าจะ Beck และเรื่องอื่นๆ ก็ลองอ่านเพราะความกล้าที่จะฉีกแนวการ์ตูนไทยมาแนวตลกในสายอาชีพ/ชีวิต ต่างจากเรื่องอื่นที่ยังเน้นแฟนตาซีจับกลุ่มตลาดใหญ่อยู่ โกสินทร์ก็นับเป็นนักเขียนที่มีความแน่วแน่ในทางตัวเองคนหนึ่งสำหรับผม

 

ภาพโกสินทร์ ในข่าวจากสยามรัฐ ตอนได้รับรางวัลมาใหม่ๆ

แว่วกริ่งกังสดาลเล่าเรื่องของ ขุนทอง มือกลองร็อกเกอร์หนุ่มน้อยที่เหมือนตัวแทนของวัยรุ่นยุคใหม่ ที่จู่ๆก็กลายเป็นคนไม่มีที่ซุกหัวนอนอย่างกะทันหัน อันเนื่องมาจากแม่ที่หย่ากับพ่อของเขานานแล้วนั้นกำลังจะแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐีที่ดูไบ และตัดสินใจขายบ้านทิ้งไป ไอ้ขุนทองจึงต้องระเห็จไปหา ขุนเงิน พ่อผู้เป็นครูสอนดนตรีไทยฝีมือฉกาจที่เกาะระฆัง ทว่ามาถึงก็พบว่าพ่อเขาจากไปแล้ว เหลือเพียง เรไร แม่คนใหม่วัยสาวของเขาเท่านั้นที่ยังคอยดูแลสำนักดนตรีไทยไว้ให้ แต่จะมาอยู่บ้านครูดนตรีไทยแล้วเล่นดนตรีร็อกมันก็กระไรอยู่ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ดังนั้นร็อกเกอร์หนุ่มจึงต้องมาหัดเล่นระนาดเอก พร้อมๆกับเพื่อนร่วมวงหลากวัยหลายสไตล์ คล้ายๆฮาเร็ม แล้วเรื่องราวสนุกๆ จึงเกิดขึ้น

แว่วกริ่งกังสดาลท้าทายผู้อ่านด้วยเรื่องราวที่ดูเหมือนไม่เอาใจใคร เพราะสายมังงะญี่ปุ่นคงยี้ความเป็นไทย ในขณะที่สายอนุรักษ์ศิลปะไทยก็คงรู้สึกถูกเอามาปู้ยี่ปู้ยำด้วยเนื้อหาที่เข้าถึงง่ายด้วยวิธีทางสอดแทรกความตลกและความเพี้ยนแบบมังงะนั่นเอง แต่ถ้ามองอย่างกลางๆโกสินทร์ทำให้ดนตรีไทยกลับมาสู่ความสนใจของคนรุ่นใหม่ได้ไม่ต่างจากสมัยที่หนัง โหมโรง เคยทำไว้ ต่างกันก็แค่วิธีการ

แล้ววันที่ทุกคนต่างจับจ้องเขาก็มาถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2556 เมื่อข่าวจากเทศกาลงานการ์ตูนนานาชาติ ครั้งที่ 6 (The Sixth International MANGA Award 2013) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้แจ้งว่าเขาคว้ารางวัลชนะเลิศ Gold Award มาครองสำเร็จ ทั้งๆที่การ์ตูนไทยก็ไม่เคยเป็นผู้ท้าชิงสำคัญในเวทีนี้มาก่อน นอกจากชื่อโกสินทร์จะเนื้อหอมขึ้นแล้ว แว่วกริ่งกังสดาล ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวก็พลอยเป็นการ์ตูนที่คนไทยบ้าเห่อกันขึ้นมา เสียงสรรเสริญเริ่มมามากขึ้น ตอนนั้นใครๆก็คงคิดว่าอนาคตของทั้งแว่วกริ่งกังสดาลและโกสินทร์น่าจะเรืองรองทีเดียว

ทว่าวันนี้ก็มาถึงครับจากที่วางแผนไว้ว่าการ์ตูนดนตรีไทยเรื่องนี้จะยาวไปถึง 5-6 เล่มจบ ก็มาหยุดลงที่เล่ม 4 นี้เอง พร้อมด้วยเรื่องราวของขุนทองที่ค้นพบเส้นทางของตนเอง ทว่าเส้นทางที่เหลือค้างไว้ ก็คงคาใจผู้อ่านไปอีกนานทีเดียวกว่าที่ผู้เขียนจะมีโอกาสกลับมาเขียนใหม่ได้ตามสัญญาที่ให้ไว้ ซึ่งไม่รู้จะมีวันไหนไหมและเมื่อไร

ครึ่งเล่มหลังของเล่มจบนี้ จึงเป็นการอำลาอาลัยจากาเพื่อนๆในวงการที่มาวาดภาพคาแรกเตอร์ในเรื่องส่งท้าย พร้อมกับการ์ตูนจากใจผุ้เขียนที่เล่าถึงความเป็นไปหลังจากนี้ว่าทำไมต้องหยุดเขียนลง พร้อมทั้งคำขอโทษขอโพยต่างๆนานาๆที่มีไปถึงผู้อ่านที่ติดตมมาตลอดด้วย สำหรับใครที่อยากทราบแบบรวบรัด โดยสรุปก็คือหลังจากนิตยสารรายสัปดาห์ซีคิดส์ ของสยามได้ยุติการพิมพ์ไป อันเนื่องจากหลายสาเหตุโดยเฉพาะที่ว่าการ์ตูนแปลเถื่อนได้เข้ามาชิงพื้นที่ของฉบับลิขสิทธิ์มากขึ้นๆจนหัวหนังสืออยู่ยากขึ้น โกสินทร์ที่เคยเขียนลงประจำก็ขาดรายได้จากการ์ตูนรายสัปดาห์ตรงนี้ไป และจะได้เงินก็จากทางฉบับรวมเล่มเท่านั้น ซึ่งกว่าจะวาดออกมารวมเล่มได้ก็นานเกินกว่าเขาจะเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ เพราะฐานะปานกลางสายป่านไม่ได้ยาวนัก

แว่วกริ่งฯ สมัยลงในซีคิดส์ แม้จะปรับเป็น Express แล้วก็ยังไม่รอด

จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายทั้งคนอ่านและคนเขียนครับ ที่บริบทบ้านเรายังไม่สามารถหล่อเลี้ยงอาชีพนักวาดการ์ตูนระดับกลางถึงล่างได้ (จริงๆคงกระทบบิ๊กเนมอย่าง ExE ด้วยล่ะ แต่ยอดขายรวมเล่มที่ดีกว่ามากๆคงทำให้ยืนระยะอยู่ได้ยาวกว่า)

แม้ในแว่วกริ่งกังสดาลเล่มจบนั้นจะไม่ได้บอกอนาคตของโกสินทร์หลังจากนี้ไว้มากนัก แต่สำหรับใครที่ติดตามอยู่ก็คงทราบว่าตอนนี้เขาหันไปเขียนการ์ตูนลงใน ไลน์เว็บตูนส์ เรื่อง ครัวเล็ก ในป่าใหญ่ โดยเขียนร่วมกับแฟนของเขาลงรายสัปดาห์ ใครสนใจก็ตามไปสนับสนุนผลงานของเขาต่อได้นะครับ เป็นการ์ตูนอาหารและการชิมอาหารที่มีคุณภาพเรื่องหนึ่งเลยล่ะ และคงได้แต่หวังว่าสักวันเราคงได้เห็นความฝันที่เป็นจริงของทั้ง ขุนทอง และโกสินทร์ รวมถึงวงการการ์ตูนไทยด้วยครับ สู้ๆต่อไปนะทุกคน

อ่านบทสัมภาษณ์ของเขาเรื่องที่ต้องตัดจบจากเพจ Cartoonthai Studio ได้ที่นี่ครับ และติดตามผลงานใหม่ของโกสินทร์ที่เพจใหม่ Kosin-J & PittMomo ได้ที่นี่ครับ

เนื้อหาล่าสุด

Blizzard ประกาศนำเอา World of Warcraft Classic กลับมาเปิดให้บริการ

ในงาน BlizzCon 2017 ที่ผ่านมา ค่ายเจ้าพ่อน้ำแข็งได้ประกาศผ่านงานแบบเซอร์ไพรส์แฟนๆว่า พวกเขามีแผนจะนำ World of Warcraft Classic หรือที่เรียกกันว่า Vanilla มาเปิดให้บริการ ...อ่านต่อ

สรุปผลผู้ชนะการแข่ง Zone Zean Game เกม Super Ghouls’n Ghosts งาน TGS BIG 2017

ได้ผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการแข่งขัน Zone Zean Game ในงาน THAILAND GAME SHOW BIG FESTIVAL 2017 กับ เกม Super Ghouls’n Ghosts หรือ “โจมาไคมุระ” เป็นเกมภาคต่อของเกม ...อ่านต่อ

ซีอีโอ Amazon ขายหุ้นบริษัท มูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญ

เจฟฟ์ เบโซส์ ซีอีโอของ Amazon ได้ขายหุ้นบริษัท มูลค่ากว่า 1 พันล้านเหรียญ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา