สำหรับใครที่กำลังมองหาทีวีเครื่องใหม่ไว้ดูหนังและเล่นเกมโดยเฉพาะ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี เพราะในตลาดมีตัวเลือกเต็มไปหมด บทความนี้มีคำตอบ ! เราจะพาคุณไปเจาะลึก 5 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ทีวีพรีเมียมยุคนี้ควรมี ถ้ามีครบตามนี้ ดูหนังก็ฟิน เล่นเกมก็ลื่นไหลสนุกสะใจ มาเจาะลึก 5 หัวข้อสำคัญที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อกันเลยดีกว่า 

1. ความสว่างสูงสุดและรายละเอียดในระดับ 4K พร้อม HDR

การที่ทีวีสามารถแสดงผลภาพคมชัดในระดับ 4K (3840 x 2160 พิกเซล) เป็นเรื่องทั่วไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ภาพมีชีวิตชีวาจริง ๆ คือเทคโนโลยี HDR (High Dynamic Range) ที่เป็นตัวกำหนดขอบเขตความสว่างและความมืดของภาพ ซึ่งจะช่วยให้ทีวีสามารถแสดงรายละเอียดในส่วนที่สว่างที่สุด (Highlights) และมืดที่สุด (Shadows) ได้อย่างครบถ้วน ทำให้ภาพมีมิติและสมจริงมากขึ้นกว่าเดิม

ยกตัวอย่าง ในฉากที่มีแสงไฟจ้ากับมุมมืด ๆ เช่น ฉากที่มีกองไฟ ทีวีที่รองรับ HDR จะสามารถแสดงรายละเอียดทั้งส่วนที่สว่างจ้าและส่วนที่มืดสนิทได้พร้อมกัน ทำให้เราเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งถ้าเป็นทีวีแบบ SDR (Standard Dynamic Range) ทั่วไปอาจจะแสดงผลได้ไม่ครบถ้วนจนรายละเอียดบางส่วนหายไป

2. Refresh Rate สูง ภาพลื่น 

เรื่องของ Refresh Rate (อัตรารีเฟรช) ก็สำคัญมาก ๆ เพราะเป็นค่าที่บ่งบอกจำนวนครั้งที่หน้าจอสามารถแสดงภาพใหม่ในหนึ่งวินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามองเห็นภาพลื่นไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นเกมที่ต้องมีการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ

  • 60 Hz : เป็น Refresh Rate มาตรฐานทั่วไป เหมาะกับการดูหนังหรือรายการทีวีปกติ
  • 120 Hz หรือ 144 Hz ขึ้นไป : Refresh Rate ระดับนี้จะทำให้ภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องและตอบสนองได้รวดเร็วกว่า ช่วยลดปัญหาภาพเบลอจากการเคลื่อนไหว (Motion Blur) และอาการภาพฉีก (Screen Tearing) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การเล่นเกมแนว FPS หรือ Racing เป็นไปอย่างสมจริง และได้เปรียบกว่า Refresh Rate ค่ามาตรฐาน ดังนั้นถ้าจะเน้นภาพลื่นก็ต้องเลือกที่สูงกว่า 120 Hz ขึ้นไป 

3. ระบบเสียงรอบทิศด้วย Dolby Atmos

ประสบการณ์ด้านเสียงเป็นส่วนสำคัญที่ไม่แพ้ภาพเลย ซึ่งหนึ่งในระบบเสียงที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบันอย่าง Dolby Atmos ก็จะช่วยเสริมประสบการณ์เสียงให้มีความสมจริงยิ่งขึ้น เพราะเป็นระบบเสียงแบบ 3 มิติ ทำให้เสียงไม่ได้ดังแค่ด้านหน้าหรือด้านข้าง แต่สามารถระบุทิศทางของเสียงได้แม้กระทั่งเสียงที่มาจากด้านบน เช่น เสียงเฮลิคอปเตอร์บินผ่านหัว หรือเสียงฝนตกกระทบพื้น รวมถึงเสียงเสียงฝีเท้าที่เกิดขึ้นรอบตัว ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์จริง

นอกจากนี้ การมีเครื่องเสียงที่เหมาะสมกับระบบที่ได้รับการจูนมาเป็นพิเศษก็มีส่วนช่วยให้คุณภาพเสียงคมชัด รายละเอียดครบถ้วน และทรงพลังยิ่งขึ้นด้วย 

4. เทคโนโลยีจอภาพ QLED เพื่อสีสันที่สมจริง

ในโลกของทีวีพรีเมียมนั้นมีเทคโนโลยีจอภาพหลายแบบ แต่ที่โดดเด่นในเรื่องของสีสันก็คือ QLED (Quantum Dot Light Emitting Diode) โดยใช้ Quantum Dot ที่เป็นอนุภาคนาโนขนาดเล็กจิ๋วมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงสี ทำให้สามารถแสดงผลสีได้กว้างและสว่างสดใสกว่าจอภาพทั่วไป

แม้ว่า OLED (Organic Light Emitting Diode) จะโดดเด่นเรื่องการควบคุมความสว่าง การควบคุมความมืดที่ดำสนิทและมีค่าความคอนทราสต์ที่สูงมาก เพราะสามารถเปิดหรือปิดการทำงานของแต่ละพิกเซลได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในด้านความสว่างสูงสุด (Peak Brightness) และการแสดงผลสีที่สดใสในสภาพแวดล้อมที่มีแสงมากนั้น ส่วนใหญ่ QLED จะทำได้ดีกว่า ทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด

5. การประหยัดพลังงานและการถนอมสายตา

การใช้งานทีวีเป็นเวลานาน ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของความร้อนที่เกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบต่อสายตาด้วย ทีวีระดับพรีเมียมที่ถูกต้องจึงต้องมาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยดูแลผู้ใช้งานไปในตัว เช่น Energy Saving Mode ที่ช่วยลดการใช้พลังงาน หรือ Anti-Glare เทคโนโลยีลดแสงสะท้อนบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยลดแสงสะท้อนจากหลอดไฟ หรือแสงอาทิตย์ทำให้สามารถรับชมภาพได้อย่างสบายตามากขึ้น และลดอาการล้าของดวงตาเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน ๆ 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความต้องการของผู้ใช้งานยุคนี้ ไม่ควรจะมีแค่ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ เพราะด้วยไลฟ์สไตล์ที่ส่วนใหญ่จะพักอาศัยตามคอนโดฯ หรือซื้อทีวีเพื่อตั้งไว้ในห้องส่วนตัวมากขึ้น ไซซ์ต้องมีความพอดีและสามารถตั้งในห้องที่เล็กได้ด้วย และคงไม่มีอะไรที่ตอบโจทย์ไปมากกว่าทีวีพรีเมียมที่ให้ภาพคมชัดทุกมิติ เสียงกระหึ่มสมจริงเต็มอารมณ์ ไปมากกว่า TCL Premium QD-Mini LED TV หนึ่งในทีวีจาก C Series ของ TCL ซึ่งรุ่นนี้ก็ถือว่ามีครบทั้ง 5 ข้อที่เราเกริ่นไป แถมมีดีไซน์ที่ตอบโจทย์การพักอาศัยในพื้นที่เล็ก ๆ ได้ด้วย 

C7K Premium QD-Mini LED TV : ทีวีเพื่อความบันเทิงด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ดีไซน์บางเฉียบ

C7K มาพร้อมกับดีไซน์บางเรียบหรู Ultra Slim Design บางสวยเหมาะสำหรับตั้งในพื้นที่จำกัดและไม่รกตา ทำให้ห้องดูสวยและดูดี แต่ไม่ได้มีแค่ดีไซน์ที่ดูดีอย่างเดียว เพราะฟังก์ชันก็จัดเต็มมาก ๆ สำหรับคอบันเทิงที่ชอบดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม จัดเต็มอย่างไรบ้างมาดูกัน

ดีไซน์และจอแสดงผล

  • ดีไซน์ Ultra Slim : C7K Premium QD-Mini LED TV โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่บางเฉียบและเรียบหรู มาพร้อมฐานตั้งสี่เหลี่ยตรงกลางแบบ Center Stand ไม่กินพื้นที่ ยังเหลือพื้นที่วางของบนโต๊ะได้
  • ความสว่าง 3,000 Nits และระบบ Precise Dimming : หัวใจสำคัญของจอภาพนี้คือความสว่างสูงสุดที่ 3,000 Nits ทำให้ภาพสว่างในทุกสภาพแสง และยังมาพร้อมกับระบบ Precise Dimming Series (สูงสุด 1,568 โซน) ที่ควบคุมการหรี่แสงได้ละเอียดระดับพิกเซล ช่วยให้แสดงส่วนที่มืดได้ดำสนิทและส่วนที่สว่างก็ดูมีมิติสมจริง
  • เทคโนโลยี QLED และ Crystglow HVA Panel : ด้วยการใช้เทคโนโลยี QLED (Quantum Dot Light Emitting Diode) ทำให้หน้าจอแสดงสีสันได้มากกว่า 1 พันล้านเฉดสี ผสานกับ Crystglow HVA Panel ที่มีอัตราคอนทราสต์สูงถึง 7000:1 ทำให้ภาพคมชัดทุกรายละเอียด

ประสิทธิภาพสำหรับเกมเมอร์

  • อัตรารีเฟรช 144 Hz Native : นี่คือจุดเด่นที่เกมเมอร์ไม่ควรมองข้าม เพราะ Refresh Rate 144 Hz คือจำนวนครั้งที่หน้าจอสามารถแสดงภาพใหม่ได้ในหนึ่งวินาที ทำให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหล ไม่เบลอหรือสะดุด โดยเฉพาะในเกมที่ต้องมีการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ 
  • Game Master : ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมให้เหนือกว่าเดิม ด้วยการลดความหน่วง (Input Lag) และเพิ่มความลื่นไหลของการเล่นเกม ทำให้คุณได้เปรียบคู่แข่งในทุกจังหวะ
  • AiPQ Pro Processor : ชิปประมวลผลอัจฉริยะจาก TCL ที่ใช้อัลกอริทึมขั้นสูงในการวิเคราะห์และปรับแต่งภาพแบบเรียลไทม์ ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัดและสีสันที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ระบบเสียงระดับพรีเมียม

  • Bang & Olufsen : C7K Premium QD-Mini LED TV มาพร้อมกับระบบเสียงที่ได้รับการปรับแต่งจาก Bang & Olufsen แบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกจากประเทศเดนมาร์ก ทำให้ได้เสียงที่มีมิติ คมชัด และทรงพลัง สร้างประสบการณ์การรับชมที่สมจริง
  • Dolby Atmos และ DTS:X : ไม่ได้มีแค่เสียงที่ทรงพลัง แต่ยังรองรับระบบเสียงรอบทิศทาง ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหมือนเสียงมาจากทุกทิศทาง ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านบน เสมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์ส่วนตัว และมีประสบการณ์จริงร่วมกับสื่อบันเทิง 

นอกจากเทคโนโลยีด้านภาพและเสียงแล้ว ทีวียังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ใส่ใจผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม เริ่มจาก Energy Saving Mode ที่ช่วยลดการใช้พลังงานให้คุณเพลิดเพลินกับการดูหนังและเล่นเกมได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าไฟ นอกจากนี้ยังมีหน้าจอ Anti-Glare ที่ช่วยป้องกันแสงสะท้อนจากสภาพแวดล้อม ลดความเมื่อยล้าของดวงตา ทำให้การใช้งานต่อเนื่องยาวนานเป็นไปอย่างสบายตา

สำหรับขนาดของหน้าจอ มีตัวเลือกให้เลือกตั้งแต่ 55 – 85 นิ้ว เพื่อให้คุณสามารถเลือกให้เหมาะกับขนาดของห้องและความต้องการในการรับชมได้อย่างลงตัว

แอบกระซิบว่า C7K Premium QD-Mini LED TV รุ่นนี้ นอกจากโดดเด่นด้านฟังก์ชันที่ดีงามสำหรับสายบันเทิงแบบครบวงจรแล้ว TCL ยังเป็นพันธมิตรโอลิมปิกและพาราลิมปิกอย่างเป็นทางการด้วย ฉะนั้นสำหรับใครที่มองหา TV คุณภาพดีเพื่อรับชมโอลิมปิกระดับ 4k และเสียงรอบทิศเหมือนอยู่ติดขอบสนามด้วยเทคโนโลยี Dolby Atmos และลำโพงที่พัฒนาโดยบริษัทระดับโลก รุ่นนี้รับจบ

แต่ถ้าไม่ต้องการซื้อ TV เพื่อดูโอลิมปิก แต่กำลังมองหา TV ที่จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีอย่าง QD-Mini LED ดีไซน์บางเรียบหรู Refresh Rate สูงให้ภาพลื่นไหลไม่กระตุก และยังมาพร้อมกับระบบเสียงระดับโลกจาก Bang & Olufsen ที่จับคู่กับเทคโนโลยี Dolby Atmos เพื่อมอบประสบการณ์เสียงที่สมจริงในราคาที่จับต้องได้ C7K Premium QD-Mini LED TV ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน