ความพยายามของ TikTok ในหลายปีที่ผ่านมาเพื่อคลายความกังวลด้านความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ดูเหมือนจะแตกสลายไปเมื่อ โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในกฎหมายแบน TikTok

กฎหมายฉบับนี้มีชื่อเต็มว่ารัฐบัญญัติการคุ้มครองอเมริกันชนจากแอปพลิเคชันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐศัตรูต่างชาติ (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act) ซึ่งบังคับให้ ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่ต้องขาย TikTok ให้ธุรกิจในสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นจะถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์ม

ทำไมสหรัฐฯ ถึงระแวง TikTok

เหตุหลักที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เป็นข้ออ้างในการแบน TikTok ก็มาจาก ‘ความกังวล’ ในด้านความมั่นคงที่ว่า TikTok จะเปิดช่องทางให้รัฐบาลจีนเก็บเกี่ยวข้อมูลประชาชน และนำไปสู่การแทรกแซงการเมืองภายในได้ เช่นเดียวกับความกังวลที่ว่า TikTok ครองใจชาวอเมริกันและประชาชนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในช่วงเวลา 2 ปี มียอดผู้ใช้ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

โจวโซ่วจือ ซีอีโอ TikTok เรียกร้องให้ชาวอเมริกันคัดค้านกฎหมายแบน TikTok เมื่อเดือนมีนาคม

อีกทั้ง TikTok ก็ถือว่าเป็นบริษัทที่มีธุรกิจจีนอย่าง ByteDance เป็นเจ้าของ ซึ่งตัว ByteDance แม้จะมีผู้ก่อตั้งชาวจีนถือหุ้นเพียง 20% แต่ก็ถือว่าเป็นหุ้นก้อนที่ใหญ่ที่สุด (ที่เหลือ 60% เป็นของบริษัทลงทุนทั่วโลก และอีก 20% สุดท้ายเป็นของพนักงาน)

แต่ที่ผ่านมายังไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า TikTok ทำอย่างที่มีการกล่าวหาจริง อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานว่า ByteDance มีความเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนโดยตรง แม้จะเคยมีรายงานว่าพนักงานของ ByteDance ใช้ TikTok สอดแนมนักข่าวในสหรัฐฯ ก็ตาม

เพลเลออน หลิน (Pellaeon Lin) นักวิจัยชาวไต้หวันจาก Citizen Lab แห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโท เคยทำการวิเคราะห์เชิงเทคนิคเพื่อดูว่า TikTok เก็บข้อมูลผู้ใช้งานหรือไม่ แต่ก็ไม่พบว่ามีการเก็บข้อมูลมากไปกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ

ทางด้าน อาร์เหม็ด กัปปัวร์ (Ahmed Ghappour) อาจารย์ด้านความมั่นคงปลอดภัยคอมพิวเตอร์และกฎหมายอาญา จากมหาวิทยาลัยบอสตัน ชี้ว่าปัจจุบันยังขาดหลักฐานว่าจีนคอยเก็บข้อมูลจาก TikTok หรือพยายามบังคับให้ TikTok ดัดแปลงข้อมูลผู้ใช้งาน

รัฐบาลจีนครอบงำ?

กฎหมายความมั่นคงหลายฉบับที่รัฐบาลจีนประกาศใช้ ยังมีผลในทางบังคับธุรกิจในจีนต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในด้านความมั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ (National Intelligence Law) ที่บังคับให้ธุรกิจจีนต้องร่วมมือกับรัฐบาลในงานด้านข่าวกรอง หรือกฎหมายอัลกอริทึม และกฎหมายด้านข่าวกรองที่บังคับให้ธุรกิจต้องเปิดเผยข้อมูลในหลายส่วนให้รัฐบาลจีน

สำนักงานไซเบอร์สเปซจีน (Cyberspace Administration of China – CAC) เป็นหน่วยงานกำกับควบคุมการดำเนินธุรกิจด้านไอทีของจีน (ที่มา Reuters)

จีนยังมีกฎหมายที่บังคับให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องยอมยกหุ้นส่วนหนึ่งหรือที่เรียกว่า หุ้นทองคำ (Golden Share) รวมถึงที่นั่งในบอร์ดบริหารให้กับสมาชิกพรรคคมิวนิสต์ ซึ่งบริษัทลูกของ ByteDance ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ฉะนั้นหลายฝ่ายจึงไม่เชื่อว่าบริษัทที่มีความสำคัญขนาด ByteDance ที่ถือข้อมูลของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียมหาศาลผ่าน TikTok ที่ได้รับความนิยมสูง และ Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน) จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของรัฐบาลไปได้

หยินเทา หยู (Yintao Yu) อดีตผู้บริหารฝ่ายวิศวกรรมของ ByteDance สาขาสหรัฐฯ ออกมาแฉเมื่อปีที่แล้วว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีรหัสใช้งานพิเศษที่สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานที่ ByteDance ถืออยู่ ซึ่งมีข้อมูลของผู้ใช้สหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย

สหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศแรก

อินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่แบน TikTok รวมถึงแอปจีนมากกว่า 60 รายการอย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจากความขัดแย้งกับอินเดีย ซึ่งเกิดจากข้อพิพาทในเรื่องของดินแดนและความกังวลด้านความมั่นคง ตั้งแต่ปี 2020

แอฟริว เฮนส์ (Avril Haines) ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ชี้ว่า จีนอาจใช้ TikTok ในการแพร่อิทธิพลต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ (ที่มา NBC)

ในขณะที่อีกกว่า 16 ประเทศที่แบน TikTok ในสถานที่ทำงานของรัฐอาจจะทั้งหมดหรือบางส่วน เช่น เนเธอร์แลนด์ แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย นอร์เวย์ ลัตเวีย และเดนมาร์ก

การแบน TikTok ยังไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่อยู่ท่ามการแข่งขันทางอิทธิพลระดับโลกระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สหรัฐฯ ใช้อำนาจความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่มีอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน ไปจนถึงญี่ปุ่น พากันปิดกั้นจีนทางเทคโนโลยี โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้นำไปใช้ในทางทหาร

จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

แน่นอนว่าทางเลือกหลักในตอนนี้สำหรับ ByteDance และ TikTok มีอยู่ 2 ทางเท่านั้น คือเลือกที่จะขายหรือเลือกที่จะถูกแบนออกจากทุกร้านค้าแอปและโดเมนของสหรัฐฯ

ไม่ว่าทางไหนก็อ่วมทั้งนั้น เพราะ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง และเป็นแหล่งทำเงินชั้นดีของ ByteDance จนยากที่จะยอมเสียไปง่าย ๆ ได้ อีกทั้งหาก TikTok แอบสอดแนมข้อมูลของชาวอเมริกันให้รัฐบาลจีนจริง การขายบริษัทให้สหรัฐฯ ทั้งหมดก็อาจเป็นข้ออ้างในการ ‘เปิดโปง’ ข้อมูลภายในไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

สหรัฐฯ ยังถือเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ TikTok มากที่สุดในโลก หากไม่ยอมขาย TikTok จนถูกแบนไปดื้อ ๆ ก็คงเสียรายได้ไปโดยเปล่าประโยชน์

และต้องอย่าลืมว่ารัฐบาลจีนจะต้องเข้ามามีส่วนอย่างมากในการตัดสินใจครั้งนี้แน่นอน เนื่องด้วยกฎหมายที่เข้มงวดตามที่กล่าวไปแล้ว

ถ้ายอมขาย

หาก ByteDance ยอมขาย TikTok โดยดี ก็ต้องดูว่าธุรกิจที่จะรับช่วงต่อไปนั้นเป็นใคร และจะทำยังไงกับบริษัทต่อไป โดยเฉพาะถ้าเป็นหนึ่งในคู่แข่งของ TikTok ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้มีอำนาจต่อรองในทางเทคโนโลยีมากขึ้นไปอีก

แต่หน่วยกำกับดูแลที่ค่อนข้างเข้มงวดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะคณะกรรมการการค้ากลาง (Federal Trade Commission) และคณะกรรมการการสื่อสาร (Federal Communication Commission) ก็จะพยายามขวางการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดโซเชียลมีเดียที่มีมากอยู่แล้วของบางเจ้า

ถ้าไม่ยอม

ถ้า ByteDance ยืนกรานไม่ยอมขายธุรกิจ TikTok ในสหรัฐฯ ก็เท่ากับว่าผู้ใช้งานที่มีมากถึง 80 – 150 ล้านคนจะเคว้งคว้าง (ถ้าไม่มุด VPN ไปใช้ TikTok) ต้องอพยพข้ามไปเสพแพลตฟอร์มคู่แข่งในสหรัฐฯ อย่าง Facebook และ YouTube ที่มีฟีเจอร์วิดีโอสั้น Reels และ Shorts ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอิทธิพลให้กับแพลตฟอร์มทั้ง 2 เจ้าให้มีอำนาจเหนือข้อมูลของผู้ใช้งานมากขึ้นไปอีก

สิ่งคล้าย ๆ กันนี้เกิดขึ้นในอินเดียมาแล้ว หลังจากที่รัฐบาลอินเดียแบน TikTok อย่างถาวรออกจากทุกพื้นที่บนโลกออนไลน์ ผู้ใช้ชาวอินเดียที่มีอยู่กว่า 200 ล้านคนย้ายไปใช้แอปข้างเคียงอย่าง YouTube และ Instagram แทน รวมถึงแอปสัญชาติอินเดียที่มีพื้นที่ตลาดเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ถึงแม้ ByteDance จะยอมขาย TikTok แต่รัฐบาลจีนก็ไม่น่าจะยอมง่าย ๆ หรือถ้ายอมก็คงจะจำกัดมาก ๆ เช่นอาจจะยอมให้ขายบริษัท แต่ไม่ให้ขายอัลกอริทึมที่บริษัทถืออยู่

อาร์เธอร์ ตง (Arthur Dong) อาจารย์จากวิทยาลัยธุรกิจแม็กโดนัฟ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ไม่เชื่อว่าจีนจะยอมให้ขาย TikTok เพราะอาจรู้สึกว่ากำลังโดน “เอาปืนจ่อหัว” อยู่ ซึ่งรัฐบาลจีนไม่ชอบการถูกบังคับจากรัฐบาลสหรัฐฯ

ทางเลือกอื่น

นักวิเคราะห์มองว่า TikTok ยังสามารถซื้อเวลาให้ตัวเองด้วยการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อยื่นอุทธรณ์กฎหมายแบนตัวเองได้อยู่อีก

ซึ่งหาก TikTok สามารถยื้อไปจนได้ถึงหลังเลือกตั้งสมาชิกสภาล่างที่จะมีขึ้นในช่วงเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน ก็อาจหวังได้ว่าจะสามารถนำเสนอร่างแก้กฎหมาย แต่นั่นก็จะต้องใช้เวลานานมาก

อีกทั้งแม้ว่าหากหลังเลือกตั้งจะได้สัดส่วนพรรคเสียงข้างมากต่างจากเดิม เพราะผู้ที่ลงมติเห็นชอบกฎหมายแบน TikTok ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย 360 ต่อ 58 เสียง มาจากทั้ง 2 พรรคที่มีเสียงไม่ต่างกันมาก

ผลกระทบถึงไทย?

ไม่ว่าจะขายหรือไม่ขาย โมเดลการซื้อบริษัทที่รัฐบาลมองว่าเป็นภัย อาจกลายเป็นเครื่องมือในทางการเมืองที่ประเทศอื่นหันมาทำตาม และยิ่งทำให้ความขัดแย้งระหว่างขั้วประเทศมหาอำนาจยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

สหรัฐฯ อาจใช้ผลของกฎหมายแบน TikTok เป็นข้ออ้างในการกดดันชาติพันธมิตรให้แบน TikTok เหมือนกับตัวเอง โดยใช้มาตรการคว่ำบาตรมาเป็นข้อต่อรอง เหมือนกับที่ทำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอื่น ๆ

แต่กว่าเราจะได้เห็นการแบน TikTok เกิดขึ้นก็ยังต้องรออย่างน้อยเกือบ 1 ปี กว่าจะได้เห็นบทสรุปที่ทุกคนอยากรู้