‘เด็กที่หลุดหายไป’ จากระบบการศึกษา หากไม่มีใครใส่ใจ อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ?

หนุ่ย พงศ์สุข ได้เริ่มต้นการเดินทางเพื่อหาคำตอบนี้ ด้วยแรงบันดาลใจจาก กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จากความประทับใจในงานที่สามย่าน มิตรทาวน์ ที่ทำให้คุณหนุ่ยได้เห็นภาพที่ตราตรึงใจ เด็กจากหลายจังหวัดในไทยที่เคยหลุดระบบการศึกษาได้ถูกนำความถนัดกลับมาภายใต้คอนเซปต์ ‘ทุกที่คือโรงเรียน’ พวกเขาเหล่านั้นได้ตอกย้ำความจริงที่ว่า ‘เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’ ด้วยโครงการที่จัดตั้งและออกแบบมาด้วยความตั้งใจที่จะช่วยให้เด็กไทยได้เรียนหนังสือทุกคนจาก กสศ. และภาคีเครือข่าย

บทความนี้จะเป็นการรีแคป ‘แบไต๋ในคลองเตย’ ภารกิจตามเด็กคลองเตยกลับมาเรียนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำจาก กสศ. อย่าง ‘iSEE’ และ ‘Thailand Zero Dropout’ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการตามหาเด็กที่ไม่มีโอกาสได้เรียน ทั้งยังเป็นการ ‘แบไต๋’ เบื้องลึกเบื้องหลังของเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างจริงใจ ว่าด้วยเหตุผลอะไรทำไมถึงต้องออกจากโรงเรียน และเทคโนโลยีของ กสศ. สามารถช่วยเด็ก ๆ เหล่านี้ได้มากแค่ไหน  

6 ชีวิตที่หลุดหายไปจากระบบการศึกษา กสศ. ใช้อะไรตามหา ‘อนาคต’ ของเด็กคลองเตย ? 

รูปจากเว็บไซต์ iSEE

เทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตามหาเด็ก ๆ เหล่านี้ โดย กสศ. ก็ใช้ชุดข้อมูล 2 ชุดที่ทำงานประสานกัน ดังนี้

  • iSEE : ชุดข้อมูลที่เปิดให้เข้าถึงได้ตามสิทธิ เพื่อให้เห็นภาพรวมของประเทศ เสมือนการเปิด Google Map เพื่อดูว่าเด็กที่หลุดระบบอยู่จังหวัดไหนบ้าง เป็นการมองเห็นปัญหาในภาพรวม
  • Thailand Zero Dropout : นี่คือหัวใจของการทำงานเชิงรุก เป็นชุดข้อมูลที่ลงลึกเป็นรายบุคคล และเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น ทำงานโดยการนำเลขบัตรประชาชน 13 หลักจากทะเบียนราษฎร ไปวิ่งชนกับ API ฐานข้อมูลของโรงเรียน หากไม่พบการเชื่อมต่อ นั่นหมายถึง เด็กได้หลุดออกจากระบบไปแล้ว ข้อมูลนี้จะถูกนำมาอยู่ในแผนที่ของ iSEE และเป็นข้อมูลเชิงลึกเฉพาะบุคคลใน Thailand Zero Dropout

แต่การทำงานนี้ต้องปลอดภัยและแม่นยำแค่ไหน ? กสศ. นำระบบการกรอกข้อมูลมาทำเป็น แอปพลิเคชัน แทนการใช้กระดาษ ซึ่งอาจกลายเป็นเศษขยะที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว นี่คือความใส่ใจในรายละเอียดและความปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม
หมายเหตุ ทำตามหลักความปลอดภัยของข้อมูล PDPA

แบไต๋ ‘ชุมชนคลองเตย’

ซึ่งก่อนที่จะก้าวเข้าไปตามหาเด็ก ๆ เราต้องทำความเข้าใจกับ ‘บ้าน’ ของพวกเขาเสียก่อน ชุมชนคลองเตยคาดว่าที่มีประชากรอยู่อาศัยเป็นแสน มีลักษณะการใช้ชีวิตในตรอกเล็ก ๆ ที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท โดยคุณหนุ่ยก็เสริมว่า ‘มนุษย์เราเป็นลูกสิ่งแวดล้อม’ การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อความคิดและความฝันของเด็ก ๆ อย่างลึกซึ้งแน่นอน

การตามหาตัวเด็ก ๆ ในพื้นที่ซับซ้อนนี้ ย่อมต้องอาศัยผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งอย่างป้าแต๋น-ประภา ชุมพลรักษ์ และพี่ไฝ-สัญชัย ยำสัน 2 ผู้นำจากคณะกรรมการของชุมชนประจำล็อก 1-2-3 ที่คอยนำทางและผลักดันสิ่งดี ๆ ให้เด็กในคลองเตย พวกเขาคือผู้ที่เข้าถึงหัวใจของชุมชนอย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าข้อมูลจาก Thailand Zero Dropout จะเป็นข้อมูลจริง แต่เด็กเหล่านี้อาจมีการย้ายบ้านไป-มา ข้อมูลในจออาจไม่เรียลไทม์เป๊ะ ๆ ซึ่งหัวหน้าชุมชนอย่างป้าแต๋นกับพี่ไฝก็จะสามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ได้

‘คนจนขับเคลื่อนเมือง’ ประเด็นใหญ่ที่ใคร ๆ ก็ไม่ควรมองข้าม 

พี่ไฝได้อธิบายว่า กว่า 80-90% ของคนในชุมชนคลองเตยทำงานบริการ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ขายของ หรือกวาดถนน นี่คือคำถามที่ชวนให้ฉุกคิดว่า หากไม่มีพวกเขา ใครเล่าจะไปทำงานให้คนรวย หรือแม้แต่คนชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเมือง ?

สิ่งที่พี่ไฝพูด เป็นการตอกย้ำว่า การขาดการศึกษาคือรากฐานของความเหลื่อมล้ำและวงจรความยากจน โดยชี้ว่าการที่คนในชุมชนกว่า 80-90% ต้องทำงานบริการพื้นฐานที่มีค่าแรงต่ำและมีความเสี่ยง เป็นผลจากการขาดโอกาสทางการศึกษาที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการผลิตซ้ำทางชนชั้นและจำกัดทางเลือกในชีวิต

แม้คนกลุ่มนี้จะเป็น ‘ฟันเฟืองสำคัญ’ ที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจให้เมือง แต่พวกเขากลับถูกกดทับ การศึกษาจึงเป็นยิ่งกว่าการเรียนรู้ แต่เป็น ‘เครื่องมือทางสังคม’ และกลไกเดียวที่สามารถทำลายกำแพงความเหลื่อมล้ำ เพื่อยกระดับสถานะและมอบทางเลือกที่ดีกว่าให้แก่ประชากรฐานรากได้จริง

มุมมองคนภายนอก ที่ทำให้ ‘คนคลองเตย’ เป็นคนไม่ดี ?

เป็นความจริงที่สังคมภายนอกมักมี ‘กรอบ’ มาครอบชาวคลองเตยไว้ด้วยถ้อยคำ เช่น พวกโง่ พวกติดยา พวกใช้ความรุนแรง นี่คือสิ่งที่พี่ไฝในฐานะผู้นำชุมชนต้องการให้สังคมทำความเข้าใจใหม่

เช่นเดียวกับเด็ก ๆ ในคลองเตยที่ถูกกรอบนี้ครอบไว้ มีเด็กในชุมชนหลายเคสที่บอกว่าตัวเองเกเรเลยไม่ไปเรียน ทั้งที่ความจริงมีปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้น แต่เมื่อสังคมบอกว่าผลลัพธ์ของการไม่ไปเรียนคือสิ่งที่คนไม่ดีทำ เด็ก ๆ เหล่านี้ก็เชื่อตามนั้น

ดังนั้น สิ่งที่เราได้จากการไปคลองเตย คือปัญหาอาจจะอยู่ที่การที่สังคม ‘ไม่ให้ค่า’ จนไม่ได้พยายาม ‘เข้าใจ’ อย่างลึกซึ้งมากพอหรือเปล่า ? นี่จึงเป็นจุดที่ กสศ. ควรเข้ามาช่วยเหลือ ให้โอกาสเด็ก ๆ และตีแผ่ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น และเข้าใจ ‘ชุมชนคลองเตย’ อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

จากประเด็นมุมมองของชุมชนคลองเตย ดร. ไกรยส ก็ได้ย้ำถึง ‘รอยต่อสำคัญของการศึกษา’ ปัญหาที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ลูปความยากจนไม่หายไปไหนสักที อย่างช่วง ป. 6, ม. 3 และ ม. 6 เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาหลัง ม. 3 มักจะวนเวียนอยู่กับความยากจน ถ้าลูกที่ออกมาไม่จบเกิน ม. 3 วงจรนี้ก็จะวนอยู่แบบนี้ และแทบจะไม่มีวันพัฒนาให้ไปได้ไกลกว่านั้น

ฉะนั้น การศึกษาที่ทำให้เขาได้ไปไกลจะช่วยนำทางเขาออกจากวงจรความยากจนได้ นี่คือเหตุผลที่ กสศ. ให้ความสำคัญกับ Thailand Zero Dropout และการนำพาเด็กที่หลุดระบบการศึกษาเป็นอย่างมาก

ดร. ไกรยสกล่าวย้ำไว้ว่า ‘ประเทศไทยมีคนเก่ง แต่คนเก่งไม่ได้ไปต่อ’ ซึ่งหน่วยงานอย่าง กสศ. ต้องเข้ามาสนับสนุนตรงนี้ 

เคสแรก : น้องอิ้งค์ – แววตาแห่งความฝันที่รอสะพาน

เคสแรกที่ทีมงานได้พบคือ อิ้งค์ เด็กหญิงวัย 14 ปี ที่หลุดจากระบบการศึกษาไปตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อคุณหนุ่ย พงศ์สุข ได้พูดคุย ก็สังเกตเห็นประกายในแววตาของเธอ ซึ่งมาพร้อมกับความฝันที่เรียบง่ายแต่ชัดเจน เธออยากเรียนต่อที่ปัญญาภิวัฒน์เพื่อเข้าทำงานที่ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น

ความฝันของอิ้งค์ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ ผู้นำชุมชนได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นี่คือแบบอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นในคลองเตย เพราะพี่สาวของอิ้งค์ก็เดินตามเส้นทางนี้มาก่อน และเป็นตัวอย่างของโอกาสที่สามารถเรียนไปพร้อมกับทำงานสร้างรายได้ได้

อย่างไรก็ตาม คุณหนุ่ยย้ำกับอิ้งค์ว่า ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใด ‘การจบการศึกษา’ ย่อมดีกว่าเสมอ เพราะมันคือใบเบิกทางที่สังคมยอมรับและสามารถต่อยอดในอนาคตได้ ดร. ไกรยส ภัทราวาท จึงได้เสนอแนวทางที่ยืดหยุ่นคือ Mobile School (เรียนผ่านมือถือ) เพื่อให้อิ้งค์สามารถเรียนเก็บหน่วยกิตทางออนไลน์ได้ พร้อมทั้งเสนอความช่วยเหลือด้านค่าเดินทาง เนื่องจากทีมงานมองเห็นศักยภาพและเชื่อว่าอิ้งค์มีอนาคตที่ไปได้ไกล

การทำงานของ กสศ. ในเคสนี้จึงเป็นการเข้าหาด้วยความจริงใจ ทีมงานได้พูดคุยสอบถามอย่างละเอียดว่าเด็กไม่ชอบอะไรในการเรียน ทำไมถึงต้องออกจากโรงเรียน และอยากทำอะไรในอนาคต การสนทนาไม่ใช่แค่การโน้มน้าว แต่เป็นการ ‘ทำความเข้าใจ’ ถึงปัญหาที่แท้จริง เพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมที่สุดให้เด็กเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเอง นี่แสดงให้เห็นว่า การจะดึงเด็กกลับสู่ระบบการศึกษาได้สำเร็จนั้น ผู้พูดคุยต้องมีจิตวิทยา เข้าใจบริบทของเด็ก และปราศจากอคติ

เคสที่ 2 : ‘อุ๊บ’ ปัญหาของสมอง หรือเพราะสิ่งแวดล้อมไม่สนับสนุน ?

อุ๊บอยากทำงานส่งอะไหล่กับพ่อ คุณหนุ่ยชี้ว่านี่คือ ‘เซฟโซน’ ที่ไม่มีใครรับประกันความมั่นคงได้ เพราะไม่มีวุฒิ แต่ความเชี่ยวชาญและความรู้ลึกที่เขามีสามารถต่อยอดได้ !

อุ๊บมีความคิดว่า เขามีเซฟโซนที่ถ้าไม่ได้เรียนก็แค่ทำงานกับพ่อ ซึ่งไม่ได้ผิดเลย แต่มันสะท้อนว่าเด็กคนนี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เขา ‘ไม่อยากมีความฝัน’ เพราะมองว่าความด้อยทางสมองมันทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มันกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้อุ๊บมองไม่เห็นว่าต้องทำยังไง และที่สำคัญคือขาดคนที่เข้าใจเขา และพร้อมที่จะชี้นำเขาจริง ๆ ดร. ไกรยส จึงเสนอกลไกการนำสิ่งที่ถนัดมาทำเป็นวิชาเรียนและตีเป็นหน่วยกิต เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเห็นทางเลือกใหม่ ๆ จนสุดท้ายอุ๊บตอบตกลงอยากเรียนในท้ายที่สุด 

เคสที่ 3 : ‘บิ๊ก’ ตัวเล็ก แต่มีศักยภาพ

บิ๊กเป็นเด็กที่คุณหนุ่ยนิยามว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือถ้าได้รับการส่งเสริมที่ดี จะเติบโตไปได้ดี แต่ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน อาจจะแย่ไปเลย บิ๊กให้เหตุผลที่ดร็อปเรียนคือ ‘แม่ไม่มีเงินมากพอให้ไปโรงเรียน เลยขาดเรียนบ่อย’ เขาจึงเลือกไปเล่นสนุกเกอร์หาเงิน เพราะมันสามารถหาเงินได้เลย ไม่ต้องลำบากไปเรียน

บิ๊กไม่มีแผนจะกลับไปเรียนต่อ จบมาแค่วุฒิ ป. 6 ดร. ไกรยส จึงเสนอโอกาสและทุนการศึกษา และคุณหนุ่ยพยายามโน้มน้าวว่า ‘การกลับไปเรียนจะช่วยต่อยอดอนาคตให้ไปได้ไกลมากขึ้นแน่ ๆ’ ในการพูดคุยได้มีการพูดถึงการทำช่อง YouTube สิ่งที่น่าประทับใจคือ ‘บิ๊กตาเป็นประกายทันทีที่พูดเรื่อง YouTube’ และการที่บิ๊กตอบกลับเรื่องการตัดต่อวิดีโอได้อย่างฉลาด แสดงให้เห็นว่าบิ๊ก ‘มีศักยภาพ’ และพร้อมเรียนรู้ เพียงแต่ไม่มีคนมาชี้แนวทางให้ก็เท่านั้น 

บิ๊กเป็นเคสที่น่าเห็นใจ เพราะโอกาสที่ถูกตัดมักเกิดจากการที่เขาไม่มีทุนมากพอในการกลับไปเรียน ทุนจาก กสศ. จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยปูทางให้เขาไปได้ไกลกว่าที่อยู่ในปัจจุบัน

เคสที่ 4-5 : ‘ดิว’ และ ‘ทิว’ สองพี่น้องที่พลาดโอกาสเรียนต่อและอนาคตที่สดใส เพราะไม่มีวุฒิการศึกษา

ดิว และทิว เป็นสองพี่น้องที่มีความถนัดในเรื่องฟุตบอลและฟุตซอลอย่างชัดเจน พวกเขามีอนาคตที่สดใสในด้านนี้ แต่ชีวิตต้องสะดุด เพราะขาดวุฒิการศึกษา ทั้งคู่ย้ายมาจากกาญจนบุรี และจำเป็นต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ด้วยเหตุผลเดียวคือ ไม่มีเงินเรียนต่อ ผลที่ตามมาคือ ทิวที่แม้จะเคยคัดตัวฟุตบอลจนติด แต่ก็ไม่สามารถไปต่อได้เพราะข้อจำกัดด้านวุฒิ

ดร. ไกรยส ภัทราวาท จึงได้เสนอทางออกด้วยการเรียน Mobile School เพื่อให้พวกเขาสามารถได้วุฒิการศึกษาและคว้าโอกาสในชีวิตต่อไปได้ ทั้งสองคนมีความตั้งใจที่จะเรียนต่ออยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจับตามองคือทัศนคติของดิว พี่ชายคนโต ซึ่งแสดงถึงความไม่มั่นใจและไม่กล้าพูดเต็มปากว่าจะเป็นนักฟุตบอล เพราะมองว่า ยังไงก็เป็นไม่ได้หรอก โดยคุณหนุ่ยและ ดร. ไกรยส ต่างช่วยกันให้กำลังใจและย้ำว่า ‘อย่ามองว่าเราจะทำอะไรไม่ได้’ 

คุณหนุ่ยสรุปเคสของสองพี่น้องคู่นี้อย่างน่าสนใจว่า พวกเขาคือ ‘แพ็กเกจที่สำเร็จแล้ว’ เพราะมีทักษะและความฝัน แต่ ‘ขาดแค่สะพาน (การศึกษา) ที่จะนำทางไปสู่เป้าหมาย’ กสศ. จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มสะพานนี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินตามความฝันได้อย่างเต็มศักยภาพ

เคสสุดท้าย : ‘เอิร์น’ ตัวพิการ แต่ใจสู้

เคสสุดท้ายคือเรื่องราวของเอิร์น ซึ่งต้องประสบภาวะพิการติดเตียงจากการได้รับวัคซีน ทำให้เธอพลาดโอกาสสำคัญหลายอย่าง ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิตปกติทั่วไป ทั้งที่จริงแล้วเธอเป็นเด็กเรียนเก่ง ชอบอ่านหนังสือ และเคยเป็นนักกีฬา ความฝันของเอิร์นคือการเรียนภาษาจีนให้จบปริญญาตรี โดยมีคุณยายคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่

แม้จะมีข้อจำกัดทางร่างกาย ดร. ไกรยส ภัทราวาท ก็ได้เสนอแนวทาง Mobile School เพื่อให้เธอสามารถได้วุฒิการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ และสามารถเทียบเรียนต่อจนจบ ม. 6 และไปถึงระดับปริญญาตรีได้ ทางด้านคุณหนุ่ย พงศ์สุข ได้พยายามขอทุนให้เอิร์นได้เรียนภาษาจีนโดยตรง และให้ข้อคิดที่สำคัญว่า “ในเมื่ออดีตแก้ไม่ได้ เราก็ต้องหาวิธีแก้ไขด้วยเทคโนโลยี” พร้อมทั้งให้กำลังใจให้เอิร์นว่า “ทำให้ต่อเนื่อง มุ่งมั่น” เพราะความตั้งใจของเธอนั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่ง

แม้ว่าเคสนี้อาจจะต้องใช้ทุนพอสมควร เพราะเอิร์นมีข้อจำกัดด้านร่างกาย แต่ กสศ. ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยได้อย่างเต็มที่และเต็มใจ เพราะมีความเชื่อมั่นว่า แม้ร่างกายอาจไม่พร้อม แต่ใจที่พร้อมสู้ของเอิร์นนั้นมีคุณค่าเกินกว่าที่จะปล่อยทิ้งไปได้ การสนับสนุนทุนในเคสนี้จึงเป็นการลงทุนในความมุ่งมั่นที่ไม่ต้องเสียดายเลย

การศึกษากับการลด ‘ปัญหาสังคม’

ป้าแต๋นเสริมว่าแม้ผู้นำชุมชนจะมีความตั้งใจ แต่ก็ยากที่จะมีใครมาสานต่อจากเขาได้ หลาย ๆ หน่วยงานที่เข้ามาช่วยก็ช่วยได้ไม่ครอบคลุม เธอขอบคุณ กสศ. และทีมงานที่ช่วยกันมาสานต่อความฝันของเธอและคนอื่นอีกหลายคนที่หวังว่า ‘การศึกษา’ จะพาเด็ก ๆ ในชุมชนคลองเตยออกจากลูปความยากจนรุ่นต่อรุ่น และได้มีอนาคตที่สดใส 

คุณหนุ่ย พงศ์สุข ได้สรุปบทเรียนจากการทำงานครั้งนี้อย่างลึกซึ้งว่า ในอดีต ‘เด็กดร็อปเรียนมักถูกตีกรอบด้วยอคติ’ ว่าเป็นเด็กเกเร ไม่รักเรียน แต่เมื่อได้เข้าไปทำความเข้าใจอย่างแท้จริง จะพบว่าเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่เด็กเกเร แต่คือเด็กที่ขาดโอกาส ขาดคนชี้ทาง และขาดแรงบันดาลใจ การที่ กสศ. ตั้งใจเข้ามาช่วยเหลือ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เด็ก ๆ เหล่านี้ได้พิสูจน์ตัวเองและได้รับโอกาสใหม่ในการศึกษา

คุณหนุ่ยได้ฝากคำถามไว้ว่า ‘ลองนึกดูว่า ถ้าไม่มีกองทุนแบบนี้มาแคร์ หรือใส่ใจเด็กเหล่านี้ เขาก็อาจจะกลายเป็นปัญหาสังคมในอนาคตก็ได้’ ดังนั้น การทำงานของ กสศ. ร่วมกับผู้นำชุมชนผู้ทุ่มเท จึงเป็นการลดปัญหาสังคม ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เด็กที่หลุดไปสามารถกลับมาเป็นคนที่มีอนาคตที่ดีกว่าได้ ด้วยกองทุนที่ช่วยให้พวกเขา ‘ตั้งตัวได้ใหม่’ นี่คือการลงทุนใน ‘หัวใจ’ และ ‘อนาคต’ ที่สำคัญที่สุดของประเทศอย่างแท้จริง

รับชมเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=jqYKDZK0auQ

หมายเหตุ : เคสน้อง ๆทุกคนได้รับการอนุญาตเผยแพร่ตามหลัก PDPA แล้ว