Apple ได้เปิดตัว iPhone Air ซึ่งเป็น iPhone ที่มีความบางที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพียง 5.6 มม. และได้รับการโปรโมตด้านความทนทานเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ใช้บางคนรู้สึกหวั่นว่าอาจเกิดปัญหาตัวเครื่องบิดงอ (เล็กน้อย) ดังที่เคยปรากฏกับ iPhone 16 Plus มาแล้ว
ล่าสุด แซ็ค เนลสัน (Zack Nelson) ผู้ดำเนินรายงานช่อง JerryRigEverything ที่โด่งดังบน YouTube ได้ร่วมพิสูจน์ความทนทานของ iPhone Air ในครั้งนี้ ซึ่งปรากฏว่ากรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมนั้น สามารถผ่านบททดสอบสุดโหดได้อย่างน่าประทับใจ
เนลสันเริ่มต้นด้วยการขีดข่วน ซึ่งกระจก Ceramic Shield 2 ที่ปกป้องหน้าจอและด้านหลังตัวเครื่องของ iPhone Air นั้น มีความทนทานอย่างน่าประทับใจ ซึ่งต้องใช้ของแข็งระดับที่ 7 ตามมาตรฐานความแข็งของ Mohs (ผู้คิดค้นคือ ฟรีดริช โมส; Friedrich Mohs เมื่อปี 1812) จึงทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้
ระดับความแข็งของแร่ธาตุตามมาตรฐานการวัดของโมส มีดังนี้
- ทัลก์ (Talc) : เป็นแร่ตามธรรมชาติที่มีความอ่อนที่สุด หากสร้างรอยขีดข่วนได้จะหมายความว่าวัตถุนี้มีความทนทานน้อยมาก และเกิดรอยได้ง่ายที่สุด
- ยิปซัม (Gypsum)
- แคลไซต์ (Calcite)
- ฟลูออไรต์ (Fluorite)
- อะพาไทต์ (Apatite)
- ออร์โทเคลส (Orthoclase)
- ควอตช์ (Quartz) : ทำให้เกิดรอยบนกระจกได้
- โทแพซ (Topaz)
- คอรันดัม (Corundum) : แข็งรองจากเพชร
- เพชร (Diamond) : เป็นแร่ตามธรรมชาติที่มีความแข็งที่สุด
นั่นหมายความว่า ของแข็งที่ทำจากแร่ที่ต่ำว่าควอตช์ (Quartz) จะไม่สามารถทำให้กระจก Ceramic Shield 2 บน iPhone Air เกิดรอยขีดข่วนได้ ซึ่งทนทานกว่ากระจก Gorilla Armor 2 บน Samsung Galaxy S25 Ultra ที่เกิดรอยด้วยของแข็งระดับ 6

อีกหนึ่งไฮไลต์ คือ การบิดงอ ซึ่ง Apple ได้โปรโมตว่ากรอบตัวเครื่องได้รับการผลิตด้วยวัสดุไทเทเนียมเกรด 5 ซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าอะลูมิเนียมถึง 2 เท่า และมีความยืดหยุ่นมากกว่าถึง 60%
นั่นทำให้เนลสันต้องออกแรงดึงมากกว่าปกติจึงจะทำให้ตัวเครื่องของ iPhone Air เกิดการบิดงอเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนรูปอย่างรวดเร็วโดยไม่เกิดความเสียหายให้เห็นชัดเจนแต่อย่างใด
สุดท้ายเนลสันจึงใช้เครื่องชั่งบนเครนและออกแรงกดสูงถึง 98 กิโลกรัม จึงทำให้กระจกหน้าแตก และกรอบตัวเครื่องเกิดการบิดงอจนไม่สามารถคืนรูปเดิมได้ แต่กระจกนั้นกลับไม่แตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่อย่างใด
