หากคุณติดตามวงการกีฬาในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ อาจสังเกตเห็นอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ บนข้อมือของนักกีฬาระดับโลกหลายคน ไม่ใช่สมาร์ทวอทช์หรูหรา ไม่มีหน้าจอ ไม่มีเสียงแจ้งเตือน เป็นเพียงสายรัดผ้าเรียบง่าย
แต่ปรากฏอยู่บนข้อมือของซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, เลอบรอน เจมส์ และไมเคิล เฟลป์ส และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศตนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด อุปกรณ์ชิ้นนี้คือ WHOOP
กระแสนี้ยิ่งโด่งดังขึ้นอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2024 คริสเตียโน โรนัลโด ได้ร่วมลงทุนในบริษัทด้วยตัวเอง ตอกย้ำว่านี่คือเครื่องมือสำคัญที่นักกีฬาระดับโลกไว้วางใจ
บทความนี้จึงจะพาไปย้อนรอยความสำเร็จและทำความรู้จักกับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง WHOOP ให้มากยิ่งขึ้น
จุดเริ่มต้นในรั้วฮาร์วาร์ดสู่ธุรกิจ 3,600 ล้านเหรียญ
เริ่มต้นจากความคับข้องใจส่วนตัวของ วิลล์ อาเหม็ด (Will Ahmed) ขณะเป็นนักศึกษาและกัปตันทีมสควอชของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาต้องเผชิญกับภาวะ Overtraining อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทำให้ฟอร์มการเล่นตกต่ำลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาจึงเกิดคำถามว่า “อะไรคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าร่างกายกำลังจะพัง” คำถามนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่
อาเหม็ดเลือกที่จะดำดิ่งสู่โลกของวิทยาศาสตร์สรีรวิทยา เขาอ่านงานวิจัยทางการแพทย์กว่า 500 ฉบับ และกลั่นกรองออกมาเป็นบทความเชิงวิชาการที่กลายเป็นแผนธุรกิจฉบับแรกของ WHOOP ในเวลาต่อมา
ในปี 2012 ที่ Harvard Innovation Labs เขาได้ร่วมมือกับเพื่อนนักศึกษาอย่าง จอห์น คาโปดิลูโป และ ออเรเลียน นิโคเล เพื่อก่อตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการ รากฐานของ WHOOP จึงมาจากความเข้มข้นทางวิชาการ ซึ่งสร้างความแตกต่างและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์นับตั้งแต่วันแรก
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่จะไม่ทำการตลาดกับผู้บริโภคทั่วไปในทันที แต่เลือกเจาะกลุ่ม “นักกีฬาระดับสุดยอด” (super elite layer of athletes) ก่อน
พวกเขาตั้งเป้าไปที่บุคคลที่ร่างกายคือเครื่องมือทำมาหากิน นักกีฬาในตำนานอย่าง เลอบรอน เจมส์ และ ไมเคิล เฟลป์ส กลายเป็นผู้ใช้งาน 100 คนแรกของ WHOOP
ซึ่งกลายเป็นว่าอาเหม็ดคิดถูก เพราะการที่ผลิตภัณฑ์สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ที่มีมาตรฐานสูงที่สุดในโลกได้ ถือเป็นการการันตีคุณภาพที่ทรงพลังกว่าการโฆษณา มันสร้างเรื่องเล่าที่น่าดึงดูดใจว่า “นี่คือเครื่องมือลับที่มืออาชีพใช้” ซึ่งสร้างแรงดึงดูดแบบปากต่อปากและทำให้การเปิดตัวสู่ตลาดผู้บริโภคในภายหลังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
3 แกนเทคโนโลยี WHOOP “Strain, Sleep, Recovery”
หัวใจของ WHOOP คือการเป็น “โค้ชสุขภาพและการออกกำลังกายที่สวมใส่ได้” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการติดตามข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมงโดยปราศจากสิ่งรบกวน อุปกรณ์นี้ใช้เซ็นเซอร์หลายตัวเพื่อเก็บข้อมูลหลายร้อยจุดต่อวินาที เป้าหมายคือการสร้างโปรไฟล์ทางสรีรวิทยาที่สมบูรณ์ของผู้ใช้ในแต่ละวัน ปรัชญานี้ถูกถ่ายทอดผ่าน 3 เสาหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
เสาหลักที่ 1: Strain – การวัดค่าความเครียดของร่างกาย
Strain คือการวัดปริมาณภาระทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ แสดงผลเป็นค่าคะแนน 0 ถึง 21 ค่า Strain นี้เป็นมาตรวัดแบบลอการิทึม (logarithmic scale) ซึ่งหมายความว่าการเพิ่มค่าคะแนนจะทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตัวเลขสูงขึ้น โดยเป็นตัวชี้วัดสรีรวิทยาได้ดีกว่ามาตรวัดแบบเส้นตรง WHOOP รวมทั้งยังสามารถวัดได้ทั้งภาระของระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular load) และภาระของระบบกล้ามเนื้อ (muscular load) ผ่านฟีเจอร์ Strength Trainer
เสาหลักที่ 2: Sleep – รากฐานของสมรรถภาพ
WHOOP ให้ความสำคัญกับการนอนหลับอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในอุปกรณ์แรก ๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับระยะการนอนหลับต่างๆ (Sleep Stages) ได้แก่ การหลับตื้น (Light), การหลับฝัน (REM) และการหลับลึก (Deep/SWS) โดยมีความแม่นยำสูงเมื่อเทียบกับการตรวจมาตรฐานทางการแพทย์ เน้นที่คุณภาพผ่านค่าคะแนน Sleep Performance ซึ่งประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น ความเพียงพอของชั่วโมงนอน, ความสม่ำเสมอของเวลาเข้านอนและตื่นนอน และประสิทธิภาพการนอน
เสาหลักที่ 3: Recovery – อาวุธลับสู่ศักยภาพสูงสุด
นี่อาจเป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลังที่สุดของ WHOOP ค่าคะแนน Recovery ที่แสดงผลทุกเช้าในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ (0-100%) พร้อมแถบสีที่เข้าใจง่าย (แดง, เหลือง, เขียว) จะเป็นตัวบอกว่าร่างกายของคุณพร้อมที่จะรับมือกับภาระ (Strain) ในวันนั้นๆ มากน้อยเพียงใด โดยมีปัจจัยหลักคือ
ความแปรผันของอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Variability – HRV) และ อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก (Resting Heart Rate – RHR) รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ เช่น ประสิทธิภาพการนอนและอัตราการหายใจ
WHOOP 1.0 สู่ยุค AI และข้อมูลสุขภาพเชิงลึก
เส้นทางของ WHOOP คือการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ วิวัฒนาการของสายรัด WHOOP เริ่มจากรุ่น 1.0 ในปี 2015 สู่รุ่น 4.0 ในปี 2021 ซึ่งมีขนาดเล็กลง 33% และเพิ่มเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิผิวหนังและระดับออกซิเจนในเลือด
ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 ได้เปิดตัวเจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งประกอบด้วย WHOOP 5.0 และ WHOOP MG ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 14 วันและขนาดที่เล็กลงอีก
การเปิดตัว WHOOP MG ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ มันคือการขยับจากการเป็นเครื่องมือ “เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกซ้อม” ไปสู่แพลตฟอร์ม “เพื่อสุขภาพเชิงป้องกัน”
รุ่น MG มาพร้อมกับฟีเจอร์ระดับการแพทย์ เช่น เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับตรวจจับภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AFib) และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความดันโลหิต การเพิ่มฟีเจอร์เหล่านี้เป็นการขยายตลาดเป้าหมายจากกลุ่มนักกีฬาไปสู่ทุกคนที่ใส่ใจสุขภาพในระยะยาว
ทำไมต้องสมัครสมาชิก ? โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของ WHOOP คือโมเดลธุรกิจแบบสมัครสมาชิก (Subscription) ผู้ใช้จะได้รับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ฟรีเมื่อสมัครเป็นสมาชิก
แต่ตัวอุปกรณ์จะหยุดทำงานหากการเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Garmin หรือ Fitbit ที่เน้นการขายอุปกรณ์แบบซื้อขาด
ในมุมมองทางการเงิน โมเดลนี้สร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ (recurring revenue) ซึ่งน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนมากกว่ารายได้จากการขายฮาร์ดแวร์ที่ผันผวน โมเดลนี้ทำให้นักลงทุนประเมินมูลค่าของ WHOOP ในฐานะบริษัท Software-as-a-Service (SaaS) ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 3,600 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ลูกค้าจะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บริษัทก็มีแรงจูงใจที่จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาลูกค้าไว้ WHOOP กำลังขาย “ผลลัพธ์” (สุขภาพที่ดีขึ้น) ไม่ใช่ “วัตถุ” (อุปกรณ์ติดตาม)
เส้นทางสู่ยูนิคอร์น: เบื้องหลังเงินทุนมหาศาล
การเติบโตอย่างรวดเร็วของ WHOOP จนกลายเป็นยูนิคอร์น ได้รับการสนับสนุนจากการระดมทุนที่น่าประทับใจหลายครั้ง WHOOP ระดมทุนไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 406 ล้านเหรียญ จาก 10 รอบการระดมทุน
โดยการเติบโตแบบก้าวกระโดดเห็นได้ชัดจากรอบ Series E (2020) ที่ระดมทุนได้ 100 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าบริษัทแตะ 1,200 ล้านเหรียญ และรอบ Series F (2021) ที่นำโดย SoftBank Vision Fund เป็นจำนวนเงินสูงถึง 200 ล้านเหรียญ ส่งผลให้มูลค่าบริษัททะยานขึ้นสู่ 3,600 ล้านเหรียญ
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ “คุณภาพ” ของผู้ที่เข้ามาลงทุน นอกจากกองทุนชั้นนำแล้ว WHOOP ยังดึงดูดนักลงทุนที่เป็นองค์กรกีฬาอย่าง สมาคมผู้เล่นอเมริกันฟุตบอล (NFL Players Association) และนักกีฬาระดับโลกที่ใช้งานผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง เช่น เควิน ดูแรนท์, แพทริก มาโฮมส์ และล่าสุดคือ คริสเตียโน โรนัลโด
การที่นักกีฬาเหล่านี้ยอมควักกระเป๋าเข้ามาเป็น “นักลงทุน” ถือเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นขั้นสูงสุด และสร้างวงจรการตลาดและการลงทุนที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างทรงพลัง
การเดินทางของ WHOOP ยังอีกยาวไกล ทศวรรษแรกของบริษัทคือการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของมนุษย์ แต่ทศวรรษต่อไปดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการยืดอายุขัยที่มีสุขภาพดี (Extending Healthspan) ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้พิทักษ์สุขภาพเชิงป้องกัน การผนวกรวม AI และการใช้ฟีเจอร์อย่าง Advanced Labs และ Healthspan เพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีชีวิตที่ยืนยาวและแข็งแรงขึ้น
สายรัดข้อมือเรียบง่ายที่เคยอยู่บนข้อมือของนักกีฬาระดับโลก กำลังจะกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในอนาคตของการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสำหรับทุกคน นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราว แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นบทใหม่ของการปฏิวัติสุขภาพดิจิทัลที่น่าจับตามองต่อไป
เบื้องหลังความนิยมนี้ คือเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่พลิกโฉมวงการเทคโนโลยีสุขภาพ WHOOP ไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นแค่ผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่ แต่เป็น “บริษัทด้านสมรรถนะของมนุษย์” (human performance company) ที่ก่อตั้งขึ้นบนรากฐานของวิทยาศาสตร์สรีรวิทยา