ปั๊ป พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข  หรือ ปั๊ป โปเตโต้ คือหนึ่งในนักร้องชายแถวหน้าของเมืองไทย เขาก้าวสู่วงการดนตรีในฐานะสมาชิกวงดนตรีวัยรุ่นที่ชื่อว่า ‘โปเตโต้’ เปิดตัวด้วยผลงานเพลงชุดแรกในปี 2544 ก่อนที่จะพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญของวงจนนำมาสู่การที่ปั๊ปต้องผันบทบาทมาสู่การเป็นฟรอนท์แมนอย่างเต็มตัวเพื่อมุ่งหน้าพิสูจน์ตนเองบนเส้นทางแห่งความฝันต่อไป ฝ่าคลื่นมรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลาออกของเพื่อนร่วมวง การเปลี่ยนสมาชิกวง หรือการยุติบทบาทของนักแต่งเพลงคู่บุญจากปัญหาความขัดแย้งที่มี จนนำมาสู่การคลี่คลายในภายหลังเมื่อปั๊ปได้พบหนทางของการเข้าไปสู่ตัวตนข้างใน จนพบกับความเคลื่อนไหวของจิตใจอันนำมาสู่ความสงบและการมองเห็นถึงปัญหาต่าง  ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาในชีวิต

วันนี้เขาพร้อมที่จะเป็น ‘ปั๊ป โปเตโต้’ ที่มีความสุขยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งในชีวิตและการทำงานในฐานะนักร้อง นักดนตรีที่เขาตั้งใจว่าจะมุ่งมั่นทำมันต่อไปจนวันสุดท้ายของชีวิต พบกับเรื่องราวการเดินบนเส้นทางสายดนตรีและ การผ่านมรสุมคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงของ ‘ปั๊ป โปเตโต้’ ได้เลยครับ

ใน Facebook ของปั๊ป ปั๊ปเคยแชร์ ‘ป๋าเต็ดทอล์ก’ตอนเขียนไขและวานิช คุณแชร์ไว้ว่าชอบและอธิบายไม่ถูกเลยครับ พยายามอธิบายนิดนึงสิว่ามันชอบตรงไหนยังไง

ผมรู้สึกว่าทั้งความรู้สึกของพี่เต็ดเองแล้วก็ของคุณโจ้เนี่ยตอนที่คุยกันนะครับ คือฟังแล้วตัวผมเองก็รู้สึกผ่อนคลายครับ แล้วมันก็เบาแล้วก็ฟังสิ่งที่คุณโจ้พูดคุณโจ้เป็นคนเหนือด้วยแล้วผมก็เป็นคนเหนือเหมือนกันก็เลยเหมือนอินในเรื่องของสำเนียงการพูดของเขาจะมีความเหน่อเหนือนิดนึง แล้วก็เรื่องที่เขาเล่าก็เป็นธรรมดาที่ทุกคนมีการเดินทางเป็นของตัวเองในแบบของเขา แต่ว่าพอเริ่มขมวดตรงช่วงท้าย ๆ เริ่มรู้สึกว่าสิ่งสำคัญในช่วงเวลานี้ที่หลายคนพึงจะดูเรื่องนี้ก็คือ ‘ความพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและสิ่งที่ตัวเองเป็น’ คุณค่าของตัวเองที่ถ้าเราหาเจอไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนมันก็สวย

Lost การสูญเสีย

ถือว่าปั๊ปเป็นมนุษย์ที่ฝ่ากระแสคลื่นชีวิตแบบมหัศจรรย์ใช้ได้เลยเหมือนกัน มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ เกิดขึ้น อยากรู้ว่าในแต่ละจุดเปลี่ยนที่มันเกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิตของปั๊ปเนี่ยเราเผชิญกับอะไรอยู่ เราผ่านสิ่งนั้นมาได้อย่างไร

อัลบั้มแรกของโปเตโต้ตอนนั้นปั๊ปก็เข้ามาไม่ใช่นักร้องนำเป็นมือกีตาร์ก็แล้วก็ช่วยร้องแล้วก็มีนักร้องนำคือคุณปีย์ อัลบั้มชุดแรกออกมาถึงแม้จะไม่ได้เปรี้ยงปร้างแต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งผมว่าผู้คนจดจำได้แล้วใช่ไหม

ใช่ครับ ใช่ ถ้าพูดถึงในแง่ของการจดจำ ผมว่าทุกคนจดจำแน่นอน เพราะว่าสมัยนั้นเนี่ยพี่ปีย์ฮอตมากเลยนะครับคนชอบเยอะมากเลยครับ แล้วเราก็เริ่มมีทัวร์คอนเสิร์ตก็ประมาณ 15-20 ทัวร์ได้มั้งครับสำหรับอัลบั้มที่หนึ่ง เหมือนเป็นการพ่วงตามพี่ ๆ เค้าไปครับ พี่แมวไปเล่นที่นี่ก็จะมี โปเตโต้ พ่วงไปด้วย เหมือนเราก็เหมือนไปขายของตัวเองไป เล่นให้คนอื่นดูศิลปินคนไหนไปเล่นที่นี่เราก็ตามไปด้วย ก็มีงานจ้างบ้างแต่ถือว่าไม่เยอะครับ คือต้องบอกว่ามันเริ่มเข้มข้นตั้งแต่ในวันที่ออกอัลบั้มเลยอ่ะครับคือเพลงแรกที่แบบเฮ้ยเพลงนี้มันได้แน่ ๆ พี่โปรดิวเซอร์เค้าพูดกันนะครับ เพลงนี้ออกไปปุ๊บนะ เราก็แบบโอเคเราก็รู้สึกว่านี่มันคือการเพอร์ฟอร์มครั้งแรก ๆ แล้วมันน่าจะเกิดขึ้น สุดท้ายมันออกไปมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะครับ การที่เราไปแสดงในที่ต่าง ๆ เนี่ยมันก็ต้องทำให้เขารู้สึกว่าเราเป็นนักดนตรีด้วย อาจจะด้วยภาพลักษณ์ที่ซึ่งเราเข้าใจได้ว่า…เข้าใจโดยธรรมชาติเลยนะครับ เราเข้าใจอยู่แล้วว่าเราต้องไปเจอกับสถานการณ์แบบนี้มันเป็นบรรยากาศที่…

คือภาพลักษณ์เราเหมือนกับมาขายหน้าตาอะไรอย่างนี้เหรอครับ

น่าจะประมาณนั้นล่ะครับ ใช่ครับ

คือมันเป็นการมองจากคนข้างนอกเข้ามาคือจริง ๆ แล้วพวกเราก็เป็นวงดนตรีนั่นแหละ

มันก็เป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุ 19-20 ที่ชอบการเล่นดนตรีเอาอย่างนี้ดีกว่าครับ เราชื่นชอบการเล่นดนตรีแล้วเราก็ไม่รู้ว่าชีวิตจริงมันต้องไปเจอกับอะไร พอมันไปเจอแล้วมันก็แบบ ว้าว ! อะไรอย่างนี้น่ะครับ

ไอ้ความจริงที่ว่ามันคือยังไงถ้าจะยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรม

ถ้าให้เป็นรูปธรรมหรอครับก็อย่างสมมติว่าเราไปงานกาชาดนะครับ สมัยนั้นการที่นักดนตรีทุกคนจะต้องออกไปเดินทางก็คืองานกาชาดแล้วเราไปเล่นแบบต่อพี่แมวบ้าง ต่อพี่เบนซ์ พรชิตาบ้าง เล่นก่อนพี่เบนซ์บ้าง เวลาขึ้นไปเล่นมันก็จะแบบเห็นเครื่องหมายคำถามในคนน่ะครับ แล้วมันก็จะมีกระดาษทิชชู่บ้าง แล้วก็มีแบบ…ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีการรณรงค์ไม่ให้ดื่มในงาน

ทิชชูนี่คืออะไรอ่ะครับขว้างมาหรอครับ

ก็แบบโยนขึ้นมาน่าจะแซวอ่ะครับหรืออะไรอย่างนี้ โยนขึ้นมา แต่ก็ต้องเล่นครับ เล่นในแบบที่รู้สึกว่าเราเป็นนักดนตรีนะเว้ย มึงยอมรับกูหน่อยนะ กูเป็นนักดนตรีนะมันเป็นความรู้สึกแบบนี้มาตลอด เล่นหมดเลยไม่ว่าจะเป็น Limpbizkit Linkin Park เล่นได้ทุกเพลง Incubus อะไรแบบนี้เพลงสากลด้วยนะครับ เล่นเพลงของพี่คนนั้น เพลงของ Silly Fools เราก็เล่น เล่นเพลงของตัวเองอยู่สองเพลง จำได้ไปเจอศิลปินท่านหนึ่งเค้าว่า กูว่ามึงน่าจะต้องปรับโชว์นะ เล่นแบบนี้เหมือนเป็นวงเปิด

คือการที่เล่นเพลงตัวเองน้อยเกินไปมันเหมือนกับเราไม่มีตัวตน

ใช่ครับ ก็เลยคุยกันว่าโอเคเดี๋ยวเราจะทำอัลบั้มสองแล้วนะ ก็คุยกันกับปีย์ทั้งวงก็มาคุยกันว่าเดี๋ยวเรามาจัดฐานใหม่ ปีย์ก็จะเน้นเล่นเยอะขึ้น เพราะว่าปีย์เป็นคนเล่นกีตาร์เก่งมาก เค้าเรียนที่เมืองนอกเค้าก็เล่นกีตาร์ เล่นในร้านด้วย เล่นพังก์ครับ ปีย์เป็นคนเล่นพังก์ครับ คิดริฟฟ์อะไรแบบนี้

มันอาจจะยังไม่เห็นอะไรแบบนี้ในอัลบั้มแรก

ใช่ครับ ปีย์เล่นพังก์ บ๋อมก็คือเจร็อก พี่โน้ตก็เล่นกีตาร์เก่ง ส่วนนุชมือเบสเป็นผู้หญิงก็ช่วงทำอัลบั้มพี่นุชเค้าก็ไปอยู่อเมริกา ก็กำลังหามือเบสคนใหม่ก็คือพี่โอมนี่ล่ะครับ

แล้วก็เกิดเรื่องช็อกโลกเลยก็คือคุณปีย์เสียชีวิต บรรยากาศช่วงนั้นมันเป็นยังไงบ้างครับ

วันที่จะออดิชันพี่โอมก็คือเป็นวันเดียวกับที่รู้ข่าวว่าปีย์เสีย

มันเป็นวันที่เรากำลังจะเริ่มต้นใหม่ ในอัลบั้มแรกมันมีเหตุผลหลายอย่างที่เมื่อออกไปแสดงโชว์แล้วต้องปรับ มันทำได้ไม่เต็มที่ ส่วนนึงก็อาจเป็นว่าตอนเริ่มต้นทำเพลงเราก็ยังเด็ก ก็เลยไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากเพียงพอ หรือไม่เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าเพลงนี้มันใช้เล่นสดแล้วมันดีรึเปล่า ประสบการณ์เราก็ยังไม่มี

เรียกว่าเหมือนตั้งไข่อ่ะครับ แล้วเราก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนด้วย

นี่คือสิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดาขององค์กรเพลงลักษณะนี้ที่เหมือนพยายามสร้างวงดนตรีขึ้นมา สร้างส่วนผสมที่เหมาะสมซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียก็คือตรงนี้ล่ะมันยังไม่รู้จักกันเลย แต่พออัลบั้มที่สองกำลังจะเริ่มทำกันแล้วก็ดันเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น มันสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ตอนที่รู้ข่าวตอนนั้นรู้สึกยังไง

โน้ตน่ะครับมือกีตาร์เป็นคนโทรบอกว่าปีย์เสียแล้วนะ แล้วก็เสียในบ้านด้วย เสียอยู่ตรงที่เค้าอาบน้ำ มาดูกันมั้ยมาดู ก็เพื่อนเสียชีวิตผมไม่รู้จะ…แล้วในวัย 20-21 เราก็…แล้วก่อนหน้านั้น 2-3 วันปีย์เพิ่งเอาเสื้อนักศึกษามาคืนผมที่บ้าน มันไม่รู้จะอธิบายคำพูดแบบไหน มันเอ๋อไปเลยอ่ะครับ มันงง ก็คือแค่ร้องไห้แล้วก็กอดกันกับเพื่อน ทำได้แค่นั้นเองครับ แล้วก็ดำเนินการตามแบบงานช่วงนั้นไป

นอกจากปีย์จะเป็นเพื่อนแล้วเนี่ยเค้ายังเป็นทั้งนักร้องนำ เรียกว่าเป็นผู้นำวง มันส่งผลต่องานยังไงบ้างครับ

ตอนนั้นเหลือ 3 คนครับ เหลือผม พี่โน้ต แล้วก็พี่บ๋อม พี่โอมยังไม่เข้ามา ชะงักเลยครับ รู้สึกได้เลยว่า พวกเราไม่น่าลงทุนต่อแล้วบริษัทคง… เราไม่อยากหรอกตัวเองครับ เรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่อยากทำเพลงกันต่อ ยังไม่ทันได้พิสูจน์ว่าคืออะไร ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกรำลึกมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่แบบยังอยู่แต่ว่ามันก็ต้องไปต่อ อัลบั้มมันก็เลยชื่อว่าอัลบั้ม ‘ Go…On’ ครับ

Chance โอกาส

มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญคืออย่างแรก ปั๊ป ต้องขยับมาเป็นฟรอนต์แมน รู้สึกอย่างไรบ้างครับตอนนั้น

มันมีสองความรู้สึกครับ ความรู้สึกนึงคือกลัวมาก ๆ เลย แล้วก็คิดว่ามันไม่ใช่ที่ที่เราควรจะทำแบบนี้รึเปล่า ส่วนความรู้สึกที่สองก็คือแต่มันก็เป็นโอกาสนะ มันเป็นโอกาสของมึงอีกครั้งอีกแล้วนะ จากที่เด็ก ๆ เราเหมือนเราเฝ้ามองเพื่อน ๆ ที่แบบแสดงดนตรีอ่ะครับ ลงไปกลิ้งบนเวที เล่นเพลงพี่ป้างแล้วแบบ เฮ้ยมันเท่มากเลย เราจะมีโอกาสได้ทำมั้ย เราจะทำได้มั้ย วันนั้นประสบการณ์ชีวิตผมมันยังน้อยมาก น้อยจนมันไม่ได้ทำให้ความกลัวเพิ่ม มันมีแต่ความซื่อกับความอยาก อยากพิสูจน์ มันมีอยู่แค่นั้นเลยครับ แล้วเราก็พร้อมที่จะเอาตัวเองกระโจนลงไปทำอย่างเต็มที่

มีคำไทยครับ แบบนี้เค้าเรียก ‘หมูไม่กลัวน้ำร้อน’ ประสบการณ์เราน้อยจนไม่รู้ว่าไอ้ที่อยู่ข้างหน้าเนี่ยมันคืออะไรบ้าง

ถ้าเป็นวันนี้คนคงกลัวมาก แต่ว่าวันนั้นมันไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลยครับ เพราะมันไม่รู้ รู้แต่ว่าความรู้สึกมันมาทางนี้แล้ว

อีกสิ่งนึงที่น่าสนใจในอัลบั้มชุดนี้ก็คือการได้ร่วมงานกับ ‘ฟองเบียร์’ เป็นครั้งแรก ก็ต้องยอมรัยว่าฟองเบียร์เข้ามาเป็นส่วนที่สำคัญไม่น้อยเลยในการช่วยก่อให้เกิดทิศทางที่มันเป็น โปเตโต้ มาจนถึงทุกวันนี้

เรียกว่าสำคัญมากดีกว่าครับ เป็นคนสำคัญมาก ๆ เลยครับ

แล้วเจอกันได้ยังไงครับ เค้าเป็นนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงรึยัง

ยังครับ ๆ อัลบั้ม ‘Go…On’ เนี่ยเป็นอัลบั้มที่พี่เบียร์เค้าเริ่มแสดงฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ แล้วก็หลาย ๆ เพลงอย่าง ‘กล้าพอไหม’ ‘ไม่ให้เธอไป’ หลาย ๆ เพลง เกือบ 70% ของอัลบั้ม Go…On เป็นพี่เบียร์ซะส่วนใหญ่เลย มันลงล็อกอ่ะครับ มันพอดี มันลงตัว ผมก็ลื่นไหล แต่ตอนนั้นยังไม่ได้แบบสนิทกัน

เจอกันวันแรกเป็นยังไงครับ คุยกันว่ายังไงบ้าง

พี่เบียร์เป็นคนถนัดเพลงดิบครับ พี่เบียร์จะแต่งเนื้อร้องและทำนองแบบดิบโดยที่ไม่มีดนตรี แล้วเราก็ค่อยมาเรียบเรียงดนตรีขึ้นมา

มันประสบความสำเร็จทันทีเลยรึเปล่าครับ

มันไม่ได้มีช่วงเวลาที่เรามานั่งภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำเลยครับ เหมือนเพลงจะขึ้นชาร์ตเยอะด้วย แต่เราก็ไม่ได้ไปโฟกัสเรื่องนั้นจริง ๆ นะครับ ที่วงคิดแต่ว่าจะทำโชว์ให้ดีได้ยังไง จะเล่นยังไงให้คนประทับใจ ให้คนเค้าชื่นชอบ ให้คนเค้าสนุก ทุกร้านที่ไปเล่นเป็นร้านเล็ก ๆ หมดเลยครับ ไปยืนบนโต๊ะบนเก้าอี้ รถตู้ก็จากนี่นั่งคันเดียวครบทุกอย่าง ก็เริ่มมีรถแยกออกมา มีรถเครื่องด้วย 

ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้างครับ ใบหน้าที่เต็มไปด้วย question mark ตรงหน้าเวทีมันลดลงไปบ้างรึเปล่า

ลดน้อยลงครับ แล้วคนดูก็เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับเราแบบสนุกขึ้น แต่พวกผมก็ไม่ได้ชะล่าใจ ยังรู้สึกว่าเฮ้ยเราต้องปรับปรุงไปเรื่อย ๆ  เพราะว่าในอัลบั้มสองเนี่ยเราแทบจะไม่ได้เล่นเพลงในอัลบั้มหนึ่งเลย มันเล่นไม่ได้ เล่นได้เพลงเดียวคือเพลง ‘คนดูไม่มีที่อยู่’ เป็นเพลงที่ไม่ได้ถูกโปรโมตแต่ว่าเหมือนติดชาร์ตวิทยุแล้วทำให้เราได้ออกไปทัวร์คอนเสิร์ต เพราะฉะนั้นในหนึ่งโชว์เราต้องเล่นหนึ่งชั่วโมงก็จะเล่นเพลงตัวเองประมาณ 5 เพลงครับที่คนพอรู้จัก เพลงเร็วเราไม่มีเลย ‘กล้าพอไหม’ ก็กลาง ๆ ตอนนั้นยังไม่ได้เล่นใส่เมโทรนอมเลยครับ ก็ควบกันตามอารมณ์ของเพลง ก็ยังต้องยืมเพลงพี่ ๆ อย่างวง ‘พรู’ ‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร…’ ก็เล่น เพลงของพี่ ๆ โมเดิร์นด็อก ซิลลี่ฟูลส์ เพลงสากลตอนนั้นเล่น Incubus ทุกวันเลย ผมชอบมาก

คือผมเชื่อว่าในช่วงแรก ๆ ของ โปเตโต้ ภาพลักษณ์ของ โปเตโต้ ถึงแม้จะปรับมาแล้วแต่ก็ยังมีภาพลักษณ์ที่เป็นวงพอป แต่เวลาคุณเลือกเพลงคนอื่นมาเล่นเนี่ย มันไม่ค่อยพอปอ่ะ

เราก็เอาแพสชันเราใส่ลงไป ก็ตลกดีอ่ะครับ มันคงเป็นปมลึก ๆ ทั้งครับ ที่เหมือนเราก็อยากเป็นนักดนตรีตัวจริง ในสมัยนั้นมันเหมือนเป็นคำที่ฝังลงไปในหัวเลยอ่ะครับ 

มาตรฐานหรือคุณภาพการเล่นสดของเราในวันนั้นมันโอเคมั้ยฮะ

ไม่หรอกครับ ไม่ได้ดีมากนะครับ เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจมันจริง ๆ เราเล่นมันด้วยความพยายาม เหมือนเราพยายามที่จะเล่นมัน เราไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน แล้วความรู้สึกที่เราส่งไปให้คนดู มันมีแต่ความรู้กฉันทำได้ ฉันทำได้นะ ฉันเป็นแบบนี้ไง เหมือนเป็นเด็กมีปัญหามารวม ๆ กันอ่ะครับ

 ภาพที่ผมเห็นปั๊ปบนเวทีในตอนนั้นมันดูไม่มีความสุขอ่ะ เหมือนมาทำงาน

มันพยายามครับ พยายาม แล้วสมัยนั้นมันไม่ได้มียูทูบหรือไม่มีช่องที่มันสะท้อนชัดแบบเรียลไทม์ว่าเราเป็นยังไง เหมือนเสร็จหน้าที่เรา เราทำดีที่สุดแล้วคนสนุกว่ะ จอยกับเราแล้วกลับบ้านนอน ปาร์ตี้กับเพื่อน ทัวร์ต่อ แทบไม่ได้มีเวลามาโฟกัสเลยครับว่าคนชอบเรามากขึ้นรึเปล่า แค่ทำมันอย่างเดียวก็จะแย่อยู่แล้วครับ

The Band ความเป็น…โปเตโต้

อะไรมันคือความพิเศษเมื่อโปเตโต้กับฟองเบียร์มาร่วมงานกัน เค้ามาเติมอะไรกับโปเตโต้

ผมว่าอยากเรียกว่ามาเติมครับ พี่เบียร์เป็นโปเตโต้ พี่เบียร์ พี่หั่ง คือโปเตโต้ตั้งแต่วันที่เราร่วมงานกันครับ มันคือจิตวิญญาณของเค้าอ่ะครับ แล้วผมก็รับหน้าที่เป็นคนถ่ายทอด แล้วก็ต้องถ่ายทอดมันด้วยความรู้สึกที่ดีและจริงใจกับมันด้วย ไม่ได้รู้สึกว่าเค้ามาเติม แต่รู้สึกว่าเค้าเป็น ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องรู้สึกอย่างนั้น แต่มันรู้สึกอย่างนั้น การทำงานระหว่างเรามันไม่ใช่เป็นการทำงานเลยครับ เหมือนนั่งคุยกันว่าเราทำแบบนี้กันมั้ย พี่ชอบแบบนี้มั้ย โหมันเป็นการทำงานที่แบบ…เหมือนเราเริ่มทำงานมาด้วยกัน จากที่ไมได้มีคน cheer up เราขนาดนั้น เหมือนเราเชียร์กันเอง

เวลาทำงานใครเริ่มก่อนครับ

พอจบอัลบั้มสองใช่มั้ยครับ ในอัลบั้มที่สามเนี่ยก็ไปทำเพลงกันละ ทำเพลงจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่ขึ้นเพลงหน้าคอมพิวเตอร์ เราแจมดนตรีกันครับ ไปทำเพลงที่บ้านพี่วิน มือกีตาร์ เพลง ‘ที่เดิม’ อะไรแบบนี้อ่ะครับ ก็แจมกันแล้วผมก็จะร้องเว้ว ๆ วู้ว ๆ ส่วนใหญ่จะร้องเป็นคำภาษาไทยลงไป แล้วก็ส่งไปให้พี่หั่งกับพี่เบียร์ ตอนนั้นเค้ารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์แล้วครับ แล้วก็มีเพลงที่พี่เบียร์แต่งมาเป็นเพลงดิบ แล้วพี่หั่งก็มาเรียบเรียงแล้วก็เอาวงมาเรียบเรียงทับอีกทีอะไรแบบนี้ครับ

โปเตโต้เป็นวงที่เปลี่ยนสมาชิกบ่อยมาก จนในที่สุดมาถึงชุดที่สี่หรือชุดที่ห้าที่เหมือนกับคุณคือสมาชิกดั้งเดิมคนเดียวที่เหลืออยู่ พอมีการเปลี่ยนแปลงมันก็จะมีคลื่นมากระทบมาในหลายรูปแบบหลายครั้งมันหนัก เราผ่านช่วงโมเมนต์แบบนี้ยังไง

คือรู้ตัวอีกทีมันก็ผ่านไปแล้วอ่ะพี่ มันไม่ได้ต้องมาสร้างแนวคิดว่า คิดอย่างนี้แล้วเราจะได้ผ่านไป มันไม่มีแบบนั้นเลยครับ มันรู้แต่ว่าเราต้องลุยไปข้างหน้าอ่ะครับ แล้วเราก็เชื่อมั่นในทีม ถึงแม้ในภาพที่หลายคนเห็นจะเห็นพวกเราสี่ซ้าห้าคนเสมอใช่มั้ยครับ แต่จริง ๆ เรามีทีมงาน มีแบ็กสเตจ มีซาวด์เอ็นจิเนียร์ มีคนขับรถตู้ มีพี่ ๆ หลายคนที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมโดดเดี่ยว ผมรู้สึกโชคดีตรงนี้ ใช้คำว่าโชคก็คงไม่ได้ ผมใช้คำว่าขอบคุณดีกว่า ขอบคุณบรรยากาศที่มันเป็นแบบนี้ ถ้าให้แชร์ได้ก็น่าจะเป็นเรื่อง่านี่แหละ เพราะคนกลุ่มนี้แหละ ธาตุรอบ ๆ เราทั้งหลาย เพื่อนๆ ในวงที่เป็นสมาชิกถึงแม้จะไม่ได้ดั้งเดิม พี่เรา รวมถึงแฟนหรือว่าคนฟังด้วยอ่ะครับ ถึงแม้เค้าจะไม่ได้มามีส่วนร่วมอะไรในตรงนี้ แต่ว่าบรรยากาศพวกนี้แหละครับที่มันค่อย ๆ หอบให้เราผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ ผมก็รักการร้องเพลงนะ แล้วก็การแสดง เราก็ต้องทำต่อไป ผมว่าทุกอย่างมันมีเหตุทั้งนั้น

ผมทำให้ถึงขนาดเสียสมาธิในการทำบ้างมั้ยครับ

มันไม่มีเวลาให้คิดเลยอ่ะครับ ขออนุญาตยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่พี่บ๋อมไม่อยู่เราก็ยังต้องมีงานทำอยู่ มือกลองก็คือพี่กานต์เข้ามาเล่น มันก็ต้องไปแบบนี้เลยอ่ะครับ มันคือช่วงที่เราต้องไปต่อแล้วมันหยุดไม่ได้ เพราะว่าเราทำสัญญากันไปแล้ว

พอเราผ่านการเปลี่ยนแปลงสมาชิกหลายครั้ง เราจะระวังตัวมากขึ้นมั้ยว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มันอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง มันอาจทำให้ร้าว

แน่นอนครับ มันใช่ครับแต่เรื่องที่มันเกิดมันไม่ซ้ำ ปัจจัยที่ทำให้มันเกิดปัญหาเรื่องนี้มันไม่เกิดขึ้นแล้ว มันก็มีปัญหาใหม่ขึ้นอีก พอเราแก้เรื่องนี้ เดี๋ยวมันก็มีเรื่องนี้อีก มันเป็นวัฏจักร ผมว่าทุกคนก็คงเป็นเหมือนกันหมด แต่ของผมมันอาจจะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ถ้าให้เท้าความทำความเข้าใจ ผมว่ามันคงเป็นเพราะต่างที่มากัน เราไม่ได้เริ่มต้นมาด้วยกัน แล้วครอบครัวเราก็ต่างกัน ทัศนคติของแต่ละคนก็อาจจะต่างกัน แล้วด้วยวัย ผมยังไม่รู้จักคำว่าอีโก้เลยอ่ะครับ มันเป็นวัยที่มีแต่จะตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นมาถึงจุดนึงผมว่าความรู้สึกส่วนตัวบางทีมันย่อมมีอิทธิพลมากในการใช้ชีวิต ยังไม่ได้มีสติยับยั้งชั่งใจพอที่จะบอกตัวเองว่าเราใจเย็น ๆ นะ  ‘มันต้องจัดการ มันต้องทำอะไรสักอย่างนึง’ ตอนนั้นก็ได้แต่เป็นแบบนี้อ่ะครับ

พอเราผ่านเรื่องอะไรแบบนี้หลายครั้ง มันมีบทเรียนอะไรหรือมีอะไรจะบอกน้อง ๆ ในสิ่งที่ควรระวังเพราะเราผ่านมันมาแล้ว

ยากมากเลย เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงอ่ะ คือเราก็อย่าพยายามโกหกตัวเองครับ มีอะไรก็ไม่ใช่ทะเลาะกันนะ มีอะไรก็คุยกันตรง ๆ อย่าพยายามไปล็อบบี้กันเองอ่ะครับ เวลาเราทำงานเป็นทีม ตีกันเรื่องงานตีให้ตายมันก็ยังดีกว่า เริ่มรู้สึกตัวว่าเราไม่ชอบใคร รีบไปเคลียร์กับเค้าดีกว่า รีบไปคุยกันซะ อย่าปล่อยให้มันแบบคาราคาซัง แล้วหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง สุดท้ายเราอาจจะแก้ไขมันไม่ได้ ผมเสียใจมากนะครับในสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาตลอด แล้วก็มันก็คงเป็นความรู้สึกที่ผมอาจจะต้องแบกมันไปจนวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้ มันเป็นภาวะที่มันอยู่กับตัวเรา เพียงแต่ว่าวันนี้เราไปทำหน้าที่อื่นใช่มั้ยครับ แต่ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันจะอยู่กับเราตลอดไป

อยากจะหาคำแนะนำดี ๆ จังเลยแต่ผมรู้ว่า ผมว่าเป็นเรื่องที่เผชิญกับมันไปเลยดีที่สุด อะไรจะเกิดก็เกิดครับ

ยอมรับความจริง เป็นไงก็เป็นกัน ก็คอมเมนต์กันไปตรง ๆ ทะเลาะกันเลยดีกว่า ดีกว่ามารู้ทีหลัง

เราไม่ชอบเลยเหมือนไปคุยกันกลุ่มนึง เราไม่ชอบเลยอ่ะ ไม่อยากให้เพลงมันเป็นแบบนี้เลย ผมว่าพูดไปนะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ต่อให้อธิบายเป็นตำรา หนึ่ง สอง สาม สี่ ก็ไม่มีวันเข้าใจจนกว่าทุกคนจะเข้าไปเจอเอง จะว่ามันดีก็มันดี จะว่าแสบดีก็แสบดีเหมือนกันอ่ะครับ อย่ากลัวการเผชิญหน้ากันอ่ะครับ ผมว่าดีที่สุด ซึ่งที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าผมทำได้นะ

นี่คือเล่าข้อผิดพลาดบางส่วนที่เกิดจากเราด้วย

ใช่ครับ

PAIN ความเจ็บปวด

มีช่วงนึงที่เลิกทำงานกับฟองเบียร์ อย่างที่ปั๊ปบอกว่าฟองเบียร์คือโปเตโต้เลยอ่ะ ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าวันที่ไม่มีฟองเบียร์ตอนนั้นมันเป็นยังไง พอมันเกิดขึ้นแล้วตอนนั้นคุณคิดอะไรอยู่ โปเตโต้ที่ไม่มีฟองเบียร์ ณ วันนั้น

มันเหมือนว่าเราก็ต้องพิสูจน์อีกแล้วอ่ะฮะ วันแรกเราพิสูจน์ว่าเราเป็นนักดนตรี ทำเพลง แต่งเพลง สร้างงาน มีคนมาดูคอนเสิร์ตแล้วโอเค มีเพลงที่คนชอบ พอถึงจุดนึงกำลังจะดีก็มีเรื่องที่เกิดขึ้นเปลี่ยนมือกีตาร์พี่วินและก็มีพี่เบียร์ด้วย เกิดขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ก็จะพูดยังไงดี ผมนึกคำตอบไม่ค่อยออก

ท้อมั้ย

ท้อมั้ยหรอครับ อืม…ท้อในความหมายของแต่ละคนผมไม่รู้ว่ามันเหมือนกันรึเปล่าด้วยอ่ะครับ …ไม่ครับ รู้สึกว่าเราต้องพิสูจน์อะไรบางอย่างอีกแล้ว มันก็คือวัฏจักร ตอนนั้นเริ่มมีความรู้สึกแบบนั้นแล้วว่า อ้ะมันเกิดขึ้นอีกแล้วเรื่องที่มันต้องเผชิญ แต่ทีนี้มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราต้องพิสูจน์กับบริษัทด้วย พิสูจน์กับคนฟังด้วย มันเหมือนมีสองสิ่งใหญ่ ๆ  ที่ต้องทำอ่ะครับ

ความรู้สึกของผม ณ วันนั้นนะก็เป็นห่วงเลยอ่ะ ฟองเบียร์กับโปเตโต้มันแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันเลย คือตอนนั้นเป็นห่วงเลย แล้วใครมันจะแต่งเพลงให้โปเตโต้วะ แล้วภาษามันจะเป็นยังไงวะ เชื่อว่าหลายคนคงมีความรู้สึกแบบนี้

คือผมว่าเหมือนเดิมครับ เรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องใช้คำพูดนะพี่ เวลาเราไปอยู่ในบรรยากาศแห่งความไม่มั่นใจที่คนส่งมาถึงเรา ไม่ต้องใช้คำพูดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การคิดงาน โอเคเราชอบกันเอง แต่ก่อนที่เราจะไปเสนอ แววตาเค้ามันออกมาอยู่แล้วว่า มันแบบ…ใช่หรอ มันรู้สึกได้จากตรงนั้นมากกว่า แต่คำพูดมันก็มีแบบ… จบแล้ว หมดแล้ว 

มันเป็นสภาวะแวดล้อมที่หนุนให้อยากทำดียิ่งขึ้นหรือหนุนให้แบบไม่ไหวว่ะ มันไปทางไหนครับ

ให้อยากทำดียิ่งขึ้นครับ ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องถอดใจเลยครับ ทุกคนอาจจะเห็นหน้าผมชัดกว่าคนอื่น แต่ในช่วงระหว่างที่ผมเดินทางมีอีกหลายคนที่ทำให้เราแบบผนึกกำลังแล้วเรา ลุยกันซักตั้ง ! มันไม่ใช่ว่าเราเจ็บคนเดียว ตรงนี้มากกว่าที่ทำให้ค่อย ๆ ผ่านไป เข้มข้นมากเลยครับประมาณเมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว

ในช่วงนั้นเมื่อ 8 ปีที่แล้วฟองเบียร์เคยพูดไว้ว่า ‘พี่บอกเลยว่าในชีวิตพี่ไม่เคยรักใครเท่าปั๊ปเลยในเรื่องการทำงาน และไม่เคยเสียใจอะไรเท่ากับการแยกกันครั้งนี้’ ในยินคำนี้แล้ว ณ วันนั้นรู้สึกยังไงบ้างครับ

ไม่ต่างกันนะครับ ไม่ต่างกันเลย ก็เสียใจด้วย เสียใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้นด้วย เสียใจที่ไม่ได้ทำงานกับพี่เค้าด้วย แล้วก็รู้สึกรักพี่เค้าด้วย แต่วันนั้นมันมีเรื่องที่เราเลือกแล้วอ่ะครับ และเราก็ต้องยอมรับมัน ผมเชื่อว่าพี่เค้าก็เข้าใจแล้วครับ มันเหมือนเป็นสิ่งที่ถ้าเล่าวันนั้นมันก็เป็นความรู้สึกที่ว่ามันเริ่มมีสิ่งที่เราเริ่มเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องของความรู้สึกด้วย ส่วนตัวด้วย มันก็เลยทำให้ค่อย ๆ ผลักออกจากกันตามธรรมชาติ ทุกอย่างค่อย ๆ ก่อตัวอยู่แล้ว จนเหลือทางเลือกทางเดียวว่ามันเป็นแบบนี้ จนวันที่ยกหูหาเค้าเมื่อไม่ถึงปีที่ผมไม่ได้คุยกับเค้าเลย 9 ปี ไม่คุยเลยและรับรู้เค้าได้ผ่านโลกโซเชียลอย่างเดียว ยอมรับว่ามีหนักใจบ้างเวลาเราเผลอไปเห็นคำพูดเค้าที่เรารู้ว่าเค้าพูดถึงเรา แล้วก็ในวันนั้นผมก็ยังไม่ได้แข็งแรงพอที่จะผ่าน ทางเดียวที่เราจะผ่านมันไปได้ก็คือไม่เห็น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่เราทำต่อไป ตอนหลังที่มาได้คุยกันก็ยังตลกอยู่เลย

อะไรที่ทำให้ตัดสินใจโทรไป

ก็คอนเสิร์ตใหญ่ Potato Magic Hour Concert ครั้งล่าสุดนี่ล่ะครับ คือด้วยเวลามันผ่านมาเราเชียร์เค้าอยู่ไกล ๆ ด้วย พี่เบียร์คือนักสู้สำหรับผม ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ข้าง ๆ เราในวันนี้แต่ผมสัมผัสได้ถึงการเป็นนักสู้ ทุกคนมีวิธีการสู้ที่แตกต่างกันแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นคือเค้าไม่ชอบแพ้ เค้าต้องสร้างทีมของเค้านั่นคือวันที่เค้าเริ่มสร้างทีม มันทำให้เรารู้สึกแล้วว่าทุกคนต้องมีภาระของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเอง เราก็ทำหน้าที่ของเรา จนเวลามันผ่านมาถึงคอนเสิร์ตความรู้สึกทุกอย่างมันเหมือนนอนอยู่เป็นตะกอนที่แข็ง ๆ ไม่ใช่ตะกอนที่เป็นฝอย ๆ พร้อมจะพุ่งขึ้นมาใหม่ ช่วงที่เราทะเลาะกันใหม่ ๆ หรือเถียงกัน แตะนิดนึงก็ เฮ้ย ! ทำไมวะ ผมว่าน่าจะเป็นไม่ต่างกันอ่ะครับ พี่เค้าก็จะเป็นพูดกระทบกันไปพูดกระทบกันมา พอมามองวันนี้มันก็น่ารักดีอ่ะครับ และผมว่ามันทำให้เราเชื่อมโยงกันโดยที่เราไม่ได้คุยกันครับ

ผมอธิบายด้วยคำที่น้อยพูดเรื่องน้อยกับเสกเลย น้อยเค้าพูดว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจความรู้สึกเค้าได้ดีมากกว่าเสกอีกแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างเค้าสองคน ถึงแม้เหตุการณ์นั้นมันจะรุนแรงแค่ไหน แต่สุดท้ายคนที่เข้าใจมากที่สุดมันก็คือสองคนนี้นี่ล่ะ ใช่มะ ?

ใช่ครับ คือก่อนที่ผมจะโทรหาพี่เบียร์เนี่ยมันเริ่มมาจากความรู้สึกว่าเรากำลังมีคอนเสิร์ตใหญ่แล้วก็เราต้องเล่นเพลงที่พี่เค้าแต่งด้วยความรู้สึกด้วยจิตวิญญาณของเค้าเนี่ยตั้งค่อนนึงของคอนเสิร์ต ผมอยากให้เค้ามารับความรู้สึกนี้ว่าแฟนเพลงทุกคนยังรักและยังศรัทธาในเพลงที่พี่เค้าทำอยู่ และพี่เค้าควรได้รับการ celebrate เดี๋ยวนี้ว่าพี่คือยอดมนุษย์คนนึงที่อยู่กับเรามา มันคือความรู้สึกแค่นั้นเลยครับ ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าจะรู้สึกยังไงกับผม ผมไม่คาดหวังเลยครับผมแค่อยากบอกกับเค้าว่า ‘พี่ พี่ต้องมาฟังเพลงที่พี่แต่งเดี๋ยวนี้ และก็จะต้องมีคนเป็นหมื่นคนร้องเพลงพี่ให้พี่ฟัง พี่มาฟังซะ’ ในความรู้สึกผมมันคือแบบนั้น ก็เลยบอกพี่หั่งว่าผมจะโทรหาพี่เบียร์ พี่หั่งก็แบบว่าเอาจริงหรอวะ พี่หั่งก็เป็นคนนึงที่ห่างจากพี่เบียร์มาเลยเหมือนกัน

ผมก็โทรไปตอนนั้นเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แล้วด้วย ผมก็พูด ‘ฮัลโหลพี่เบียร์’ ‘ฮัลโหลครับสวัสดีครับใครครับ’ ‘พี่เบียร์ไม่แปลี่ยนเบอร์เลยนะเนี่ย’ เค้าไม่เคยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เลยครับ แล้วผมก็ยังจำเบอร์โทรศัพท์เค้าได้ จำได้แม่นเลยครับ ‘พี่เบียร์ผมปั๊ปนะครับ’ ‘ปั๊ป?’ ‘ปั๊ป โปเตโต้ น่ะพี่’ ‘อ้าาาาา’ เหมือนแบบ ‘เฮ้ยเป็นยังไงบ้างสบายดีมั้ย’ มันแทบไม่ต้อง…

รู้ในทันที เหมือนกับรู้เลยว่าวินาที่ปั๊ปโทรไปเรื่องพวกนั้นมันก็จบแล้วล่ะ

เอ๊ แป้ปนึงได้มั้ยครับ เดี๋ยวไม่เท่ แป้ปนึง (หัวเราะ) มันรู้สึกดีอ่ะครับ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

มันรู้สึกดีเพราะว่าเราไม่ต้องอธิบายอะไรเลย จูนติดทันทีตั้งแต่โมเมนต์นั้นเลย

(นิ่งคิด) ไม่ชอบเลยอ่ะ ขอโทษ (น้ำตาคลอ) ไม่เท่เลยครับ มันต้องตัดแล้วครับ เพิ่งดูน้องอิงค์ไป แบบน้องอิงค์ต้องร้องไห้ด้วยหรอ ไม่ผมไม่ได้ร้อง (ซับน้ำตา) แป๊บนึงนะครับ มันจะได้เล่าสนุกหน่อย (หัวเราะ)

ผมไม่ได้เป็นความรู้สึกแบบเหมือนที่ผมเล่าฝห้พี่ฟังนะครับ มันไม่ได้เป็นความรู้สึกแบบนี้เลย ไม่ได้ ‘โฮ โฮ คิดถึงพี่มาก’ อะไรแบบนี้ ตอนนั้นมันสงบมากเลยครับ

การสนทนานั้นจบลงยังไงครับ

ก็ชวนกันไปกินข้าวครับ แล้วก็แบบ ‘พี่ต้องมาดูคอนเสิร์ตแล้วนะ’

แล้วเค้าไปดูมั้ย

มาครับมาสองวันเลย ขอบคุณมาก คือต้องเล่าก่อนว่า สปอนเซอร์เราก็อยู่คนละฝั่ง พี่เบียร์เค้าก็ชัดเจนตรงนั้น เค้าก็เลยต้องขออนุญาต ผมก็ขอบคุณเค้ามากที่ให้เกียรติมา (น้ำตาคลอ) ตอนแรกผมก็คิดแล้วนะว่ามาแล้วคงไม่มีอะไร มันก็ไม่น่ารู้สึกอะไรป่าววะ ทำไมต้องรู้สึกวะ (ร้องไห้)

นั่นล่ะผมว่ามันเป็นเรื่องดีว่ะ

ตอนนี้ผมมองหน้าพี่เต็ดไม่ได้ ผมห้ามสบตาใคร

งั้นวันนี้ก็แปลว่าทุกอย่างเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิมอีก

คือเรา จะพูดว่าอะไรดีครับ อืม…(นิ่งคิด) ไอ้ประโยคนี้มันดันอยู่ในหัวแล้วพูดไม่ได้ เพราะถ้าพูดแล้วมันจะไม่เท่อ่ะครับ (หัวเราะ) ผมไม่ได้ทำงานกับเค้าเพราะว่าผมต้องการงานจากเค้าอ่ะครับ ในวันที่เราอยู่ด้วยกันความจริงใจที่เรามีให้กันก็คือเราต้องไม่กลัว ผมไม่อยากอยู่กับเค้าแล้ว (นิ่งคิด) ขอเขียนได้มั้ย มันอธิบายว่ายังไงดีวะ มันมีคำพูดแล้วครับแต่ผมพูดไม่ได้เท่านั้นเอง พูดแล้วเขื่อนมันแตก

เฮ้ยมันต้องพูด มันต้องพูด

นั่นล่ะครับพี่เบียร์เค้าก็ตกลงว่าขอบคุณมากดีใจ เค้าก็จะไปเค้าก็จะมาดู ดีใจที่โทรมา จำได้ว่าเค้าก็เล่าให้ฟังว่าเค้าอยู่กับคนนี้พอดี เหมือนเลขาเค้าน่ะครับ เนี่ยร้องไห้ใหญ่เลยเหมือน… เค้าบอกว่าเหมือนคนรอบ ๆ (ปั๊ปเหมือนจะร้องไห้ พูดต่อไม่ไหวออกไปหลบฉากแป๊บนึง)

สุภาพบุรุษต้องแบบนี้ Gentle Men ต้องอ่อนโยน อ่อนไหวต้อง Sensitive แบบนี้

(เดินกลับมาอีกครั้ง) ก็บรรยากาศรอบตัวมันก็ดีอ่ะครับ น้อง ๆ ที่ออฟฟิศเค้าก็คือน้อง ๆ จากทีมที่เคยทำงานกับผม ทุกคนก็ดีใจที่เราได้คุยกัน นั่นล่ะครับ แล้วก็ความรักของผมที่ผมมีต่อเค้าคือ มันน่าจะเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจที่ดีที่สุด ที่ก่อนหน้านั้นผมไม่ได้ร่วมงานกับเค้าต่อ ตอนนั้นก็กลัวครับ มันมีภาวะนั้นนะครับ กลัวเหมือนกันว่าเค้าจะไม่เขียนเพลงให้ครับ แต่ว่าในความรู้สึกถ้ามันทำงานด้วยกันไม่ได้ นั่นก็คือความจริงใจดีกว่าผมแบบพยายามเพียงเพื่อจะเอาเพลง นี่คือสิ่งที่ผมคิดในวันนั้น และพอมาถึงวันนี้เราไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ได้ need ในเรื่องของผลประโยชน์แล้ว มันเป็นแค่ความรู้สึกว่า ‘เฮ้ย พี่ ๆ มึงต้องมาฟังแล้ว’ แล้วก็ไม่รู้ทำไมนะครับ ผมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจที่จะคุยกับเค้า

ผมว่าผมพอจะอธิบายได้ว่า ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่มันผูกพันทั้งในเรื่องงานแล้วก็เรื่องส่วนตัว พอมันตัดเรื่องงานออกไป มันก็จะเหลือเพียงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ก็เท่านั้นเอง มันก็เลยพิเศษมาก

ใช่ครับ ใช่ อื้ม (น้ำตาคลอ) ‘Tissue Paper Please’

เหมือนกับเราอ่านหนังสือการ์ตูน ‘วันพีซ’ อ่ะครับ มันจะมีพวกโมเมนต์แบบนี้เกิดขึ้นอ่ะ ถ้าใครอ่านวันพีซจะเข้าใจความรู้สึกนี้ครับ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน คือตอนนี้อะไรจะเกิดก็เกิด เราไม่ได้คาดหวังอะไรต่อกัน แค่เรารู้สึกดีต่อกัน มันสุดยอดจริง ๆ ครับ มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่พิลึกพิลั่นมากครับ ก็มีทั้งขอโทษและขอบคุณด้วย ก็ขอบคุณนะพี่ ขอบคุณที่รับสายด้วย แล้วก็ขอโทษด้วยครับอะไรที่เคยทำไป ในวันที่เราเป็นเด็กเราก็เรียนรู้เรียนผิด มารยาทก็อาจจะยังไม่ได้สมบูรณ์ตามนั้นอ่ะพี่

ผมเชื่อว่าถ้าเบียร์ได้ดูเหตุการณ์นี้เค้าจะต้องดีใจเหมือนกัน

ไม่ต้องดูดีกว่าพี่ (หัวเราะ)

เค้าจะต้องดูแน่นอนไม่มีทางรอด (หัวเราะ)

BEING PUP ความเป็น…ปั๊ป โปเตโต้

ผมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนตอนช่วงอัลบั้มท้ายนี่ล่ะ คล้ายกับปั๊ปปลดล็อกบางอย่าง ผมรู้สึกว่าคุณรีแลกซ์ขึ้นเมื่ออยู่บนเวที รีแลกซ์ขึ้นกับการทำงาน ผมไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับการที่ปั๊ปเริ่มสนใจเรื่องความสุขข้างใน เรื่องการทำสมาธิรึเปล่า มีผลมั้ย และถ้ามันใช่มันเริ่มต้นยังไงครับ

คือถ้าสังเกตว่าจากที่เล่ามาเนี่ย ไอ้การเดินทางของผมเอง ผมตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ้างครับว่า เรามายืนอยู่ตรงนี้ทำไม จังหวะชีวิตของเราทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ บวกกับปัญหาที่มันเกิดขึ้น แล้วก็ช่วงเวลานั้นผมได้ไปเรียนกับหม่อมน้อยพอดี เพราะว่ามีเล่นภาพยนตร์เล็ก ๆ เรื่องนึงครับ เรื่อง ‘ขอบคุณที่รักกัน’ ตอนนั้นเล่นกับสายป่าน ผมเป็นตอนที่เกี่ยวกับเพลงของแผ่นดิน พอได้เข้าไปเรียนคลาสกับหม่อมน้อย เค้าก็จะมีการให้นั่งสมาธิทุกคลาสอ่ะครับ ตอนนั้นเข้าคลาสกันอยู่ประมาณ 20 ครั้ง ก็เท่ากับว่าถูกบังคับนั่งเกือบ 20 ครั้ง และครั้งนึงก็ประมาณ 30-40 นาที แล้วมันก็รู้สึกเบาขึ้น มันรู้สึกสนุกขึ้น ผมว่าถ้าใครได้ลองนั่งดูนะครับ แน่นอนทุกคนก็จะต้องเป็นเหน็บชา แต่ว่าทำไมเราถึงนั่งต่อไปได้ใช่มั้ยครับ มันเหมือนว่าพอสิ่งที่เราตั้งสมาธิเนี่ยมันไปอยู่อีกที่นึง แต่ว่าตัวความรู้สึกมันอยู่อีกที่นึง มันก็ทำให้เราอยู่กับมันได้ มันเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย มันเลยทำให้ผมรู้สึกลึกลงไปอีก ว่าไอ้ความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกทุกข์ใจมันอยู่กับเราตลอดเลยนี่ แต่เราไม่เคยถอยออกมา ไม่เคยซูมตัวเองออกมาเพื่อที่จะดูมัน และก็จัดการกับมันเลย ผมขลุกอยู่กับมันและก็คิดปรุงแต่งนั่นนู่นนี่เต็มไปหมดเลยอ่ะ หลังจากตรงนั้นนั่นแหละครับ ก็เลยทำให้ผมกลับมานั่งเองที่บ้าน เหมือนพอมันทำแล้วมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นอ่ะครับ ในเชิงว่าบางเรื่องที่เราแบก เราไม่รู้ว่าเราแบก เราก็เริ่มรู้ว่าเราแบกมันอยู่ อะไรมันก็ค่อย ๆ  คลายไปทีละเปลาะสองเปลาะ มันไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีอ่ะครับ แต่ทำให้รู้ว่ามันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผมค่อย ๆ ผ่านมาได้เรื่อย ๆ ครับ จุดเริ่มต้นก็มาจากตรงนั้นเกือบเมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ แล้วก็มาบวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นพอดี คือจังหวะชีวิตอ่ะครับ เหมือนกับพอเราเกิดเรื่องใหญ่ แต่มันก็มีอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราแล้วเหมือนมันซ้อนทับพอดี มันก็เลยเหมือนช่วยให้ผมค่อย ๆ ผ่านเรื่องพวกนี้มาได้ทีละนิด ๆ เริ่มเห็นความแย่ของตัวเอง เริ่มเห็นความอิจฉาของตัวเองเพิ่มขึ้น เริ่มรู้ว่าเรามันไม่ดีเลย

เหมือนการนั่งสมาธินี่มันทำให้เรารู้ว่าปัญหามันอยู่ที่เรานี่หว่า พอปัญหามันอยู่ที่เรามันก็เริ่มที่จะแก้ง่าย เราไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไรคนอื่น เริ่มจากเปลี่ยนตัวเอง

เรียกว่าเปลี่ยนก็ไม่ได้ ยอมรับดีกว่าครับ มันก็จะเริ่มเห็นว่าเราประสบการณ์ไม่ดี วันนั้นเราคิดมุมนี้อีโก้จัด มันก็อาจจะทำให้เกิดสิ่ง ๆ นี้ จากที่เมื่อก่อนก็จะเพราะไอ้นี่เพราะไอ้นั่นรึเปล่า เราไม่เคยกลับเข้ามาที่ข้างในเลยครับ ได้แต่วิ่งไปหาอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็วิ่ง ๆ ๆ ๆ แล้วก็จะทำให้มันดี มันก็ไม่ผิดนะครับที่เราเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเราไม่เป็นแบบนั้นเราก็อาจจะไม่เข้าใจว่ามันอาจจะต้องโอเคทำแบบนี้

ถ้าผมอยากนั่งสมาธิบ้างผมจะต้องเริ่มต้นยังไงอ่ะครับ มันต้องมีท่าพิเศษรึเปล่าครับ

ไม่ครับ ก็นั่งขัดสมาธิธรรมดาแล้วก็อยู่กับลมหายใจ แต่ว่าก่อนหน้านั้นเราก็วอร์มมันหน่อย ด้วยการค่อย ๆ ไล่ความรู้สึกจากจมูกลงมาที่หน้าอก พอลมเข้าไปที่จมูกก็ให้ค่อย ๆ รู้สึกให้มันไหลมาที่หน้าอกแล้วก็ให้มันลงมาที่ท้องแล้วก็ทิ้งมันไว้ประมาณวินึง แล้วก็ค่อย ๆ ไล่กลับมาใหม่ ทำแบบนี้ก่อนให้อยู่แบบนี้โดยที่ไม่ไปคิดเรื่องอื่นมันเหมือนวอร์มอ่ะครับ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักพักเราก็จะค่อย ๆ คล่องขึ้น จนทุกวันนี้ผมก็ยังไม่คล่องเลยครับ (หัวเราะ) ผมก็เหมือนรู้ว่ามันวอกแวก แต่มันช่วยผมได้ บางคนอาจจะเป็นโดยสัญชาตญาณอยู่แล้วแต่ผมมันเป็นพวกคิดเยอะอ่ะครับ มันก็เลยอาจจะต้องแก้ด้วยวิธีหยุดคิดอ่ะครับ ซึ่งคนที่คิดเยอะแล้วมาหยุดคิดนี่มันเป็นอะไรที่มันยากอ่ะครับ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมรู้สึกว่ามันเห็นผลแหละ ทุกคนที่ไปดูคอนเสิร์ตของคุณรู้สึกได้ว่ามันเป็นปั๊ปคนใหม่ เป็นปั๊ป โปเตโต้ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

รู้สึกดีมากเลยครับ

ดังนั้นไม่ว่าคุณทำอะไรอยู่มันได้ผลครับ จงทำต่อไป

ปั๊ปเคยบอกว่าถ้าวันนึงไม่ได้ร้องเพลงแล้วหรือคุณร้องเพลงไม่ได้แล้ว คุณยินดีให้โปเตโต้หานักร้องนำใหม่เลยยังรู้สึกอยู่ใช่มั้ยครับ และถ้าถึงวันนั้นจริง ๆ ถ้าไม่ได้เป็นนักร้องแล้วคุณจะทำอะไรอ่ะครับ

ไม่รู้เลยครับ ไม่มีเลยครับ ผมรู้สึกว่าอาชีพนี้อ่ะครับยังมีอะไรให้ผมค้นหาอีกเยอะเลยครับ และผมยังรู้น้อยมากผมยังไม่เข้าใจอะไรมันอีกเยอะเลยครับ มันเหมือนยิ่งเราอยู่กับสิ่งนี้อ่ะครับมันเหมือนเรายิ่งเจอหน้าต่างหลาย ๆ บานเต็มไปหมดเลยครับ แล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็อยากใช้ค่าประสบการณ์หรืออะไรต่าง ๆ ที่เราสะสมมาใส่ลงไปในเพลง ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่เลยครับก็เลยนึกไม่ออกจริง ๆ  ครับ

นึกย้อนไปวันที่คุณขึ้นเวทีแล้วเห็นหน้า question marks เต็มไปหมด วันนี้อยู่บนเวทีคุณยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่รึเปล่าเปลี่ยนไปเยอะมั้ย

ไม่รู้สึกแล้วครับ รู้สึกแต่ว่าเราต้องรู้สึกดีกับสิ่งที่ทำตรงนี้ ขณะนี้ ตอนนี้มากกว่าไปพะวงว่าเค้าจะเป็นยังไงกัน ถ้าเรารู้สึกดีผมเชื่อว่าการคอนเนคกันมันก็จะเกิดขึ้นทันทีครับ อันนี้คือช่วงหลัง ๆ ครับ พยายามเยียวยาความรู้สึกตัวเองมากกว่า ให้เอาเรื่องกังวลออกไปแล้วก็ไปอยู่กับเพื่อนบนเวทีแล้วก็เล่นกันด้วยความรู้สึกที่ดี

โปเตโต้นี่อยู่ในวงการมาเกือบจะครบ 20 ปีแล้ว บทเรียนอะไรที่สำคัญที่สุดตลอดชีวิตการทำงานของปั๊ป โปเตโต้

ก็บทเรียนของการเปลี่ยนแปลงนี่ล่ะครับผมว่ามันตอบได้แบบไม่ต้องคิดอ่ะครับ และที่นี่ก็เหมือนมันเกินครึ่งชีวิตผมไปแล้วอ่ะครับ มันมาก ๆ เลยครับที่อยู่ที่นี่อ่ะครับ

บทเรียนของการเปลี่ยนแปลงคือมันต้องเจอแน่ ๆ

เราหนีมันไม่ได้อ่ะครับ ทุกคนต้องเจอไม่ต้องวงการนี้อ่ะครับ ในตอนนี้เราก็ต้องเจอทุกคนต้องเผชิญในวิถีชีวิตที่ก็ต้องปรับตัวกันใหม่ในสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความจริงที่มันทั้งร้อนแรงด้วย เจ็บปวดด้วย แต่มันก็ทำให้เราได้เจอเรื่องใหม่ ๆ ด้วย มันทำให้เราได้เห็นเรื่องดี ๆ ด้วย ผมรู้สึกว่ามันก็เจ๋งดีอ่ะครับไอ้โรคนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส