หลังปล่อยที่สุดของหนัง ซีรีส์ หรือข่าวฮือฮา ในปี 2021 กันไปเป็นที่เรียบร้อย วันนี้ถึงคราวของ ’10 อัลบั้มยอดเยี่ยมประจำปี 2021′ โดยจะเป็นการเลือกจากอัลบั้มที่ได้รับความนิยม และเปี่ยมคุณค่าที่สุดทั่วโลก ซึ่งผลงานแต่ละชุดก็มีวิธีการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง ที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป บางชุดเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก หรือบางชุดแม้ไม่แปลกใหม่ แต่ก็ลงตัวในทุกองค์ประกอบ 

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมกันเลยว่า 10 อัลบั้มยอดเยี่ยมที่ทีมงาน beartai BUZZ เลือกมาในปีนี้ จะมีอัลบั้มไหนกันบ้าง ไปชมกันเลย

(ทั้งนี้ลำดับการเรียงอัลบั้ม ไม่ใช่การจัดอันดับแต่อย่างใด)

‘We Are’ Jon Batiste 

อัลบั้ม ‘We Are’ ถือเป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ของนักร้องนักเปียโนแจ๊ส ‘จอน บาทิสต์ (Jon Batiste)’ โดยชื่อของบาทิสต์อาจจะไม่คุ้นหูแฟนเพลงชาวไทยมากนัก แต่หากพูดถึงผลงานเบื้องหลังที่เขาได้มีส่วนร่วมก่อนหน้านี้ เชื่อว่าหลายคนต้องมีร้อง “อ๋อ” กันแน่นอน

‘We Are’ ถือเป็นเครื่องการันตีคุณภาพทางด้านดนตรีของเขาได้อย่างแท้จริง หลังผลงานชุดนี้สามารถทะลุเข้าชิง แกรมมี อวอร์ดส์ ครั้งที่ 64 ประจำปี 2022 มากที่สุดถึง 11 สาขา โดยเฉพาะสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี ซึ่งทำให้เขากลายเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่มากที่สุดในปีเดียว ร่วมกับ เคนดริก ลามาร์ (Kendrick Lamar) ซึ่งเคยทำสถิตินี้ไว้ได้เมื่อ 6 ปีก่อน

‘We Are’ เป็นผลงานที่บาทิสต์สร้างสรรค์ขึ้นจากไอเดียที่อยากจะทำดนตรีที่ปราศจากแนวเพลง (music without genre) ซึ่งตัวดนตรีมาในสไตล์กอสเปล อาร์แอนด์บี ฟังก์ เรียกได้ว่าเป็นดนตรีแบล็กมิวสิกที่เข้มข้นมากเลยทีเดียว

“Tell the Truth” ถือเป็นตัวอย่างของเพลงที่บาทิสต์ อยากจะพาทุกคนย้อนกลับไปหาสุ้มเสียงแบบปี 1970 เหมือนกับ ที่วง Booker T. & the M.G. เคยทำไว้ หรือในเพลง “Show Me the Way” เสียงร้องที่ขึ้นโน้ตสูงของเขา ก็ชวนให้เรานึกถึงท่วงทำนองของนักร้องประสานเสียงยุค 50s อย่าง Little Anthony and the Imperials 

เนื้อหาของเพลงในอัลบั้มชุดนี้ หากสังเกตจากชื่อเพลงอย่าง “We Are”, “Tell the Truth”, “Freedom” หรือ “Sing” ก็ล้วนแต่เป็นถ้อยคำจากในพระคำภีร์ไบเบิล ซึ่งสอดคล้องกับโทนโดยรวมของอัลบั้มที่บอกเล่าถึงเรื่องความหวัง แสงสว่าง และ ชีวิต

เพลงที่แนะนำ: “We Are” และ “Boy Hood”

‘We Are’

‘Justice’ Justin Bieber

หลังอัลบั้ม ‘Changes’ ก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นักร้องหนุ่ม จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ก็ตัดสินใจปรับทิศทางในงานสร้างสรรค์ของตัวเองเล็กน้อย โดยถอยกลับมาทำเพลงในสไตล์ป๊อป อาร์แอนด์บี ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีเพลงอย่าง “Peaches” หรือ “Holy” เป็นผลงานที่บ่งบอกภาพรวมของอัลบั้มชุดนี้

ภายในอัลบั้มบีเบอร์พยายามสอดแทรกกิมมิกไว้หลายที่ โดยเฉพาะการเติมสปีชของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) เข้าไป เพื่อพยายามทำให้อัลบั้มมีกลิ่นอายของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชื่ออัลบั้มชุดนี้ แต่ถึงกระนั้นบีเบอร์ก็ไม่ได้ทำอัลบั้มชุดนี้ให้ฟังดูเครียดจนเกินไป หลายแทร็กในอัลบั้มส่วนใหญ่บอกเล่าถึงเรื่องราวของความรัก ความคิด และความเชื่อ เรียกได้ว่าการใส่เสียงของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นเพียงสีสันเล็ก ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาในอัลบั้มเท่านั้นเอง

แม้จะเป็นอัลบั้มที่ไม่ได้ดีเท่ากับ ‘Purpose’ แต่นี่น่าจะเป็นอัลบั้มของจัสติน บีเบอร์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ไม่ยากนัก

เพลงที่แนะนำ: “Off My Face” และ “2 Much”

‘Justice’

‘Back of My Mind’ H.E.R.

แม้จะเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมาหลายปี แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า H.E.R. เพิ่งจะได้มีโอกาสปล่อยผลงานอัลบั้มเต็มชุดแรกของตัวเอง ในชื่อ ‘Back of My Mind’ ซึ่งสำหรับใครที่ชื่นชอบดนตรีสไตล์อาร์แอนด์บี อัลบั้มชุดนี้ถือเป็นผลงานที่น่าติตตาม และแอบซ่อนความน่าสนใจเอาไว้มากมาย 

ผลงานชุดนี้ H.E.R พยายามนำเสียงที่มีความร่วมสมัยต่าง ๆ มาปรับใช้ในดนตรีอาร์แอนด์บีของเธอเอง โดยแก่นของอัลบั้ม ก็ยังคงเป็นดนตรีบัลลาดในแบบ ‘น้อยแต่มาก’ ที่เธอทำได้โดดเด่นมาโดยตลอด ตัวอย่างเช่นเพลง “Mean It” หรือ “Exhausted” ก็ล้วนแต่เป็นผลงานที่สะท้อนให้เห็นถึงท่วงทำนองที่อ่อนโยน ทรงพลัง และน่าหลงใหล อันเป็นสุ้มเสียงเฉพาะตัวที่ทำให้อัลบั้มชุดนี้ลงตัวอย่างมาก

เพลงที่แนะนำ: “Mean It” และ “Hard To Love”

‘Back of My Mind’

‘Sour’ Olivia Rodrigo

ปี 2021 นับเป็นปีทองของ โอลิเวีย โรดริโก (Olivia Rodrigo) อย่างแท้จริง เพราะนอกจากเพลง “driver license” จะทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกแล้ว อัลบั้ม ‘Sour’ ของเธอก็ประสบความสำเร็จถึงขั้นเข้าชิงรางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมบนเวทีแกรมมีปีนี้อีกด้วย

นักร้องสาวลูกครึ่งอเมริกัน-ฟิลิปปินส์ คนนี้ แสดงตัวตน 100% ของตัวเองผ่านผลงานอัลบั้มชุดนี้ ที่มาพร้อมกับกลิ่นอายของดนตรีร็อก อิเล็กทรอนิกส์ และโฟล์ก ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างลงตัว ไม่เคอะเขิล ผ่านดนตรีป๊อปร่วมสมัยที่จับต้องได้ง่าย ไม่ยากเกินจะเข้าถึง

เพลงที่แนะนำ: “1 step forward 3 steps back” และ “good 4 u”

‘Sour’

‘Happier Than Ever’ Billie Eilish

‘Happier Than Ever’ เป็นอัลบั้มชุดที่ 2 ของนักร้องสาว บิลลี อายริช (Billie Eilish) ที่มีความแตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อนอย่างมาก เนื้อหาของอัลบั้มชุดนี้เหมือนเป็นการถ่ายทอดชีวิตที่ตกตะกอนของเธอผ่านบทเพลง ซึ่งเป็นเรื่องราวความปั่นป่วนในชีวิตที่เกิดขึ้น หลังเธอกลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินที่โด่งดังที่สุดในโลก

ทั้งเนื้อหาและดนตรีชุดนี้ อายริชแสดงออกมาให้เห็นถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น ดนตรีที่ฟังดูสงบขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับดนตรีโทนมืด ๆ จากอัลบั้มที่แล้วอย่าง ‘When We All Fall Asleep, Where Do We Go?’

หากอัลบั้มชุดก่อนคือหยิน ‘Happier Than Ever’ ของอายริชชุดนี้ก็ไม่ต่างกับหยางที่เป็นสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโต และขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้า 

เพลงที่แนะนำ: “My Future” และ “Lost Cause”

‘Happier Than Ever’

‘Side-Eye NYC (V1.IV)’ Pat Metheny 

ในปี 2021 แพต เมธินี (Pat Metheny) หนึ่งในศิลปินแจ๊สชื่อดังที่ประสบความสำเร็จ และทรงอิทธิพลกับศิลปินรุ่นใหม่มากที่สุดคนหนึ่งในโลก ได้ปล่อยผลงานชุดใหม่ที่ชื่อว่า ‘Side-Eye NYC (V1.IV)’ ซึ่งถือเป็นอัลบั้มแสดงสด ที่ถูกบันทึกในนิวยอร์กซิตี้ ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

‘Side-Eye NYC (V1.IV) เป็นผลงานที่นักกีตาร์วัย 67 ปี คนนี้ ได้ทำงานร่วมกับกลุ่มนักดนตรีรุ่นเยาว์มากฝีมืออย่าง เจมส์ ฟรานซีส์ (James Francies) และมาร์คัส กิลมอร์ (Marcus Gilmore) โดยเมธินีเล่าว่าการหันมาร่วมงานกับศิลปินรุ่นใหม่ ก็เหมือนกับสมัยที่เขายังเป็นเด็ก เขาเองก็เคยได้รับโอกาสจากศิลปินรุ่นพี่ อย่าง แกรี เบอร์ตัน (Gary Burton) 

ซึ่งผลงานชุดนี้เหมือนเป็นการหลอมรวมของคนทั้ง 2 รุ่น ที่ก่อเกิดซึ่งพลังของความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไป มันคือการนำพลังของความเก๋าเกมจากคนรุ่นเก่าและมุมมองใหม่ ๆ จากคนรุ่นใหม่ มาถ่ายทอดเป็นผลงานศิลปะผ่านบทเพลง

‘Side-Eye NYC (V1.IV)’ ถือเป็นดนตรีทางเลือกเปี่ยมคุณภาพ ที่การันตีด้วยการเข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขาอัลบั้มบรรเลงแจ๊สยอดเยี่ยม ประจำปี 2022 

เพลงที่แนะนำ: “It Starts When We Disappear” และ “Zenith Blue” 

‘Side-Eye NYC (V1.IV)’

’30’ Adele

’30’ คือสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ของ อะเดล (Adele) ที่มาพร้อมกับดนตรีบลูอายด์โซล ในสไตล์ของอะเดลที่หลายคนคุ้นเคย โดยอัลบั้มชุดนี้เสียงร้องของอะเดลมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย รวมถึงเทคนิคการร้องและการถ่ายทอดอารมณ์ที่ดูสุขุมขึ้น ต่างกับผลงานก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

’30’ เป็นอัลบั้มที่อะเดลร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงตัวท็อปของอุตสาหกรรมเพลงโลก ซึ่งนอกจากโปรดิวเซอร์หลักอย่าง เกร็ก เคิร์สติน (Greg Kurstin) แล้ว อะเดลยังได้ทำงานร่วมกับ 3 โปรดิวเซอร์สวีดิช ที่นับเป็นผู้นำเทรนด์ในวงการเพลงป๊อปโลก อย่าง แม็กซ์ มาร์ติน (Max Martin), เชลล์แบ็ก (Shellback) และ ลุดวิก โกแรนส์สัน (Ludwig Goransson)

เนื้อหาของอัลบั้มชุดนี้ จะเป็นการเล่าย้อนถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเธอในช่วงอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เธอได้แต่งงาน และมีลูกกับ ไซมอน โคเนคกี (Simon Konecki) เรียกได้ว่าเนื้อหาโดยรวมของอัลบั้มจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเธอล้วน ๆ ด้านภาคดนตรีเคิร์สตินก็ยังใส่เสน่ห์ของอะเดลไว้เหมือนเดิม นั่นคือเสียงเปียโน ที่ห้อมล้อมไปด้วยเครื่องสายบาง ๆ ที่เข้ากันดีเหลือเกินกับเสียงร้องอันทรงพลังของอะเดล 

เพลงที่แนะนำ: “Hold On” และ “I Drink Wine”

’30’

‘Heaux Tales’ Jazmine Sullivan

‘Heaux Tales’ เป็นอัลบั้มชุดที่ 4 ของ แจสมิน ซัลลิแวน (Jazmine Sullivan) มาพร้อมกับดนตรีที่เธอเรียกว่าเป็น ‘คลาสิกอาร์แอนด์บี’ โดยกิมมิกสำคัญของอัลบั้มชุดนี้ คือการใส่แทร็กอินเทอร์ลูดสั้น ๆ ก่อนเข้าเพลง ซึ่งเป็นการพูดถึงเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการถูกนอกใจ หรือการใช้ชีวิตที่ไร้จุดหมาย 

ทั้งนี้ ‘Heaux Tales’ เปรียบเสมือนพื้นที่สำหรับผู้หญิง ที่จะแสดงเสียงของตัวเองออกมา ผ่านเนื้อหาที่หนักแน่น และดนตรีที่น่าสนใจในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ ‘Heaux Tales’ กลายเป็นอัลบั้มที่จะมอบประสบการณ์การฟังที่คุ้มค่าให้กับคุณ

เพลงที่แนะนำ: “Pick Up Your Feeling” และ “Girl Like Me”

‘Heaux Tales’

‘Sob Rock’ John Mayer

‘Sob Rock’ เป็นผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8 ของ จอห์น เมเยอร์ (John Mayer) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดนตรีป๊อป แจ๊สร็อก ฟิวชัน ยุค 80s หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ซอฟต์ ร็อก’ ใครที่นึกไม่ออก ลองคิดถึงสุ้มเสียงแบบเพลง “Don’t You Know What the Night Can Do?” ของสตีฟ วินวูด (Steve Winwood) หรือ “Africa” ของวง TOTO กันดู

อัลบั้มชุดนี้เมเยอร์ดึงศิลปินดัง ๆ ในยุค 80s มาร่วมงานหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเกรกอรี่ ฟิลลินเกนส์ (Gregory Phillinganes) อดีตมือคีย์บอร์ดของไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ที่มาช่วยเรื่องเสียงคีย์บอร์ด และซินธิไซเซอร์ต่าง ๆ อีกทั้งยังได้ เลนนี คาสโตร (Lenny Castro) มือเพอร์คัสชันจากวง TOTO มาเพิ่มเติมสีสันให้จังหวะของเพลงอีกด้วย

ภาพรวมเนื้อหาของอัลบั้ม ยังคงเป็นเรื่องความรักในแง่มุมที่บอกเล่ามาจากประสบการณ์ชีวิตของหนุ่มเมเยอร์ เช่นความรักที่ไม่สมหวัง ไปจนถึงความรักแบบปล่อยวาง

‘Sob Rock’ ถือเป็นอัลบั้มที่มีการนำ vibes  เก่า ๆ ของยุค 80s กลับมาเสิร์ฟให้แฟน ๆ ได้ระลึกถึงอีกครั้ง แม้ผลงานชิ้นนี้จะมีการดึงกลิ่นอายดนตรียุคเก่ามาใช้ แต่เมื่อผสมผสานกับเสียงร้อง วิธีการแต่งเพลง เสียงริฟฟ์ เสียงโซโล่กีตาร์ที่เป็นสำเนียงเฉพาะตัวของเมเยอร์ ก็คล้ายกับว่า นี่คือดนตรีที่เขาซึมซับมาตั้งแต่เล็ก และอยากจะถ่ายทอดในแบบของตัวเองผ่านอัลบั้มชุดนี้

เพลงที่แนะนำ: “Last Train Home” และ “Shouldn’t Matter But It Does”

‘Sob Rock’

‘Medicine at Midnight’ Foo Fighters

‘Medicine at Midnight’ เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่ของ Foo Fighters ที่อัดแน่นไปด้วยดนตรีร็อกแอนด์โรลล์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ผลงานชุดนี้ทางวงได้ เกร็ก เคิร์สติน เข้ามาร่วมโปรดิวซ์อัลบั้มด้วย ซึ่งบางเพลงก็มีกลิ่นอายและกรู๊ฟของวงร็อกรุ่นพี่อย่าง ZZ Top, Motörhead, Heart, Rolling Stones และ The Beatles 

เดฟ โกรล (Dave Grohl) ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจในอัลบั้มนี้ไว้ว่าเกิดขึ้นจากวงร็อกและเพลงของพวกเขาที่มีความร้อนเร่าชวนแดนซ์ และเดฟอยากให้ซาวด์เพลงของอัลบั้มนี้มีความละม้ายคล้ายกับอัลบั้ม ‘Let’s Dance’ ของ เดวิด โบวี (David Bowie) ที่โกรลนิยามมันว่ามันไม่ใช่ทั้ง EDM ดิสโก้ หรือว่าเพลงแดนซ์สมัยใหม่ แต่มันเป็น ‘เพลงมันส์ ๆ’ ที่เปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่และเป็นเพลงร็อกที่ร้องตามได้นั่นเอง

เมื่อได้ฟัง ‘Medicine at Midnight’ เราจะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ สัมผัสแรกที่ได้รับจากอัลบั้มนี้ก็คือมันมีความ ‘ป๊อป’ ที่มากขึ้นกว่าชุดที่ผ่าน ๆ มาที่มีความโพสต์กรันจ์เต็มพิกัด ทำให้งานเพลงในอัลบั้มนี้กลายเป็นเพลงร็อกที่มีกรู๊ฟแบบเพลงแดนซ์ในยุค 80s และมีองค์ประกอบบางอย่างที่วงไม่เคยทำมาก่อนอย่างการใช้ลูปกลองหรือการใส่เสียงร้องประสานเข้ามาอย่างมาก นอกจากนี้เดฟ โกรลยังได้มีโอกาสเอาริฟฟ์กีตาร์ที่ตัวเองคิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 25 ปีก่อนแต่หาโอกาสใช้ไม่ได้สักทีมาใช้ในอัลบั้มนี้ 

‘Medicine At Midnight’ ถือเป็นอัลบั้มที่มีความหลากหลายในสไตล์และกลิ่นอายทางดนตรี เป็นอัลบั้มที่ครบเครื่องครบครันทั้งความมันส์และความไพเราะ เป็นการต่อยอดความสร้างสรรค์ให้กับวงการเพลงร็อกในวันที่หลายคนเกิดคำถามว่า ‘Rock Never Dies จริงหรือ?’ การได้ฟังงานเพลงร็อกดี ๆ จาก Foo Fighters เหมือนจะเป็นคำตอบไปในตัวแล้วว่า พวกตรูชาวร็อกยังไม่ไปไหนยังผลิตงานเพลงดี ๆ ออกมาให้กำซาบหูกันอยู่เว้ยยย !!

เพลงที่แนะนำ: “Cloudspotter” และ “Waiting On A War”

‘Medicine at Midnight’

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส