Beartai เคยได้นำเสนอเรื่องราว “อุกกาบาตลึกลับ” การระเบิดที่ตุงกุสคา (Tunguska) แต่กลับไร้หลุมบนผิวโลก เมื่อ 112 ปีก่อน ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งความลึกลับของอุกกาบาตที่อาจปลิวย้อนกลับไปในอวกาศ ก็ไม่ใช่ความประหลาดเพียงอย่างเดียวของปรากฎการณ์ที่วัตถุจากห้วงอวกาศตกลงมายังผิวโลกที่เกิดขึ้นหลายครั้ง เพราะยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกี่ยวกับอุกกาบาตจากนอกโลก ที่ถ้าใครได้อ่านเรื่องราวแล้วอาจจะรู้สึกสะพรึงกลัวมากขึ้นกับเรื่องลี้ลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้เรื่องนี้

ย้อนไปเมื่อปี 2007 ที่เมืองคารานคัส รัฐอองเดรของประเทศเปรู มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเริ่มต้นจากวันที่ 15 กันยายน มีหินหนัก 12 ตันลูกหนึ่งพุ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันนั้น ที่เมืองพูโน ในประเทศเปรู ก็เกิดเหตุดินสไลด์จากแผ่นดินไหวขนาดเล็กที่อาจเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากแรงกระเทกของอุกกาบาตด้วย

อุกกาบาตทำให้เกิดหลุมที่ท่วมไปด้วยน้ำใต้ดิน ลึกราว ๆ 6 เมตร กว้าง 30 เมตร ประชาชนในพื้นที่ได้นำก้อนหินที่คาดว่าเป็นอุกกาบาต ส่งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลนำไปตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ ต่อมาก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นอุกกาบาตจริง ๆ โดยอุกกาบาตชิ้นนี้มีองค์ประกอบจากธาตุโอลิวีน ธาตุไพโรซีน และธาตุเฟลด์สปาร์ ซึ่งแม้ไม่ใช่แร่พื้นฐานที่พบได้ทั่วไปบนโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่ถึงกับแปลกประหลาดอย่างที่มนุษย์ไม่เคยพบมาก่อน

(ภาพจาก Meteorite-Recon.com)

เมื่อฟังเผิน ๆ กับขนาดของอุกกาบาตก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรมาก แต่ผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้นนำมาซึ่งเรื่องประหลาดที่เกิดจาก “น้ำ” ที่ขังอยู่ในหลุมที่อุกกาบาตตกลงมา โดยในตอนที่อุกกาบาตตกลงมานั้น มีชาวบ้านจำนวนมากเข้าไปมุงดูหลุมอุกกาบาตที่เกิดขึ้น มีการบันทึกไว้ว่าน้ำในหลุม ไหลท่วมอุกกาบาตทั้งก้อน เดือดจัดไปด้วยความร้อน มีควันคลุ้ง และส่งกลิ่นประหลาดคล้ายกลิ่นจากแร่กำมะถัน

(ภาพจาก Meteorite-Recon.com)

จากความน่ากลัวที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสกับน้ำโดยตรง แต่หลังจากนั้นคนในหมู่บ้านก็ค่อย ๆ ล้มป่วย มีคนไข้เข้าไปรักษาตัวด้วยอาการประหลาดถึง 200 คน โดย 15 คนคือคนที่เข้าไปใกล้และสูดดมควันจากน้ำในหลุมอุกกาบาต

นำไปสู่สมมติฐานที่ว่า อุกกาบาตนั้นอาจปล่อยสารพิษออกมาในรูปแบบของควัน ที่ทำให้แม้ไม่ได้สัมผัสกับน้ำโดยตรง ชาวบ้านก็ยังได้รับพิษจากแร่ธาตุต่าง ๆ ของอุกกาบาตอยู่ดี อาการป่วยของชาวบ้านในละแวกนั้น มีทั้งปวดศีรษะและอาเจียน บางคนก็มีอาการเภูมิแพ้ที่บริเวณดวงตาและผิวหนัง มากไปกว่านั้นสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้บางส่วนเริ่มมีเลือดไหลออกจากจมูกและร้ายแรงถึงขนาดล้มตายไปก็มี

หน้าตาของหินอุกกาบาตที่เก็บได้จากในพื้นที่เมืองคารานคัส (ภาพจาก Meteorite-Recon.com)
หน้าตาของหินอุกกาบาตที่เก็บได้จากในพื้นที่เมืองคารานคัส (ภาพจาก Meteorite-Recon.com)

จึงมีการคาดการณ์โดยนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ว่า ประชาชนที่แม้จะไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับน้ำในหลุมอุกกาบาต แต่น้ำบริเวณนั้นอาจซึมลงสู่ดินและแหล่งน้ำในบริเวณเมืองคารานคัส เมื่อชาวบ้านสูบน้ำจากใต้ดินมาใช้จึงทำให้เกิดอาการป่วยกันหลายคน ซึ่งหมายถึงการที่แหล่งน้ำและดินในบริเวณที่น้ำจากอุกกาบาตซึมไปถึงนั้นเกิดการปนเปื้อนแล้ว

ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งได้เข้าไปใกล้ถึงขอบหลุ่มที่มีอุกกาบาตตก และเกิดล้มป่วยตามมา (ภาพจาก allthatsinteresting.com)

ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ยังเชื่ออีกด้วยว่า โรคประหลาดดังกล่าวเกิดจากคำสาปบางอย่างที่มากับอุกกาบาต ทำให้นักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่ทางการของเปรู ต้องเร่งออกมาสืบหาต้นเหตุทางวิทยาศาสตร์ของอาการป่วยดังกล่าว ต่อมามีรายงานความเป็นไปได้ว่า อาการป่วยของชาวบ้านเกิดจากการได้รับ “สารหนู” ซึ่งก็ทำให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า สารหนูที่ว่ามาจากไหน มาจากอุกกาบาต หรือมีอยู่ในพื้นผิวดินบริเวณนั้นอยู่แล้ว หรือการตกลงมาของอุกกาบาตไปกระตุ้นให้พื้นผิวดินบริเวณนั้นเกิดสารหนูไหลซึมลงสู่พื้นดินขึ้นมา

นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์บางส่วนก็ได้ตั้งข้อสงสัยไว้เพิ่มอีกว่า อุกกาบาตที่ตกลงบนพื้นผิวดินที่มีน้ำขังเล็กน้อยลักษณะนี้ ไม่น่าทำให้เกิดน้ำเดือดจนระเหยออกมาเป็นควันและส่งกลิ่นคล้ายกำมะถันได้ อย่างที่ชาวบ้านในพื้นที่บันทึกคำบอกเล่าเอาไว้หลังจากเกิดเหตุไม่นาน

จนถึงขณะนี้เวลาก็ได้ล่วงผ่านมา 13 ปี ที่ยังไม่มีคำตอบว่า สารหนูเกิดมาจากสาเหตุอะไรและเกี่ยวข้องกับอุกกาบาตที่ตกมายังเมืองคารานคัสมากขนาดไหน เพราะคดีนี้ถือว่าถูกปิดไปแล้วในเปรู และก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์วิจัยต้นเหตุของอาการป่วยของชาวบ้านต่อ เห็นแบบนี้ถ้าเกิดมีอุกกาบาตตกลงมาแถวบ้านใครหรือตกเข้ามาในประเทศไทย ก็พาตัวออกจากพื้นที่ละแวกนั้นก่อนน่าจะเป็นอันปลอดภัยที่สุด

https://www.youtube.com/watch?v=LcAVbA_5EXA

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส