Nissan LEAF รถไฟฟ้ายอดนิยมที่ขายได้มากกว่า 300,000 ทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2010 เตรียมจำหน่าย Nissan LEAF Gen 2 ในไทยอย่างเป็นทางการไม่เกินมีนาคม 2019 (คือปีการเงิน 2018 ของนิสสัน) พร้อมเผยผลวิจัย ผู้ใช้รถยนต์ในไทย 44% กำลังมองหารถไฟฟ้าเป็นรถคันต่อไป

Play video

Nissan LEAF Gen 2 รุ่นปรับปรุงครั้งใหญ่

หลังจาก Nissan LEAF เปิดตัวมา 8 ปี นิสสันก็เปิดตัว LEAF รุ่นที่ 2 ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับการปรับปรุงระบบขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ใหม่ให้ขับได้ไกลขึ้น ด้วยชุดแบตเตอรี่มาตรฐานความจุ 40 kWh จะสามารถขับเคลื่อนได้ราว 240 กิโลเมตร (หรือเทสแบบ JC08mode จะได้ระยะทางราว 400 กิโลเมตร) และมีความสามารถ V2G หรือ Vehicle-to-grid ในการจ่ายพลังงานกลับเข้าสู่ระบบไฟฟ้าในบ้านได้

เครื่องยนต์ของ Nissan LEAF สามารถเร่ง เร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8.9 วินาที ให้แรงบิด 320 Nm และให้กำลัง 150 แรงม้า ชาร์จไฟได้ทั้งแบบ DV – CHAdeMO และ AC – Type 1 ได้ ชาร์จเร็วได้ 80% ภายใน 40 นาที

เครื่องยนต์ของ Nissan LEAF

ช่องชาร์จไฟของ Nissan LEAF

พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ ProPilot ที่ช่วยรักษาตำแหน่งรถให้อยู่กลางเลน, รักษาความเร็วรถ (CRUISE CONTROL), ช่วยเบรคในจังหวะฉุกเฉิน เปิดไฟสูงอัตโนมัติ หรือระบบช่วยเตือนจุดที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ยังมีระบบ ProPilot Park ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ อาศัยกล้อง 4 ตัว โซนาร์ 12 ตัว เลือกโหมดจอดได้ 3 แบบ คือหลังเข้า หัวเข้า จอดขนาน (แต่จอดได้ในที่ๆ มีเส้นจอดเป็นหลัก ถ้าไม่มีเส้นก็ต้องถอยจอดเอง)

อีกเรื่องใหม่ของ New Nissan LEAF คือระบบการขับขี่ที่เรียกว่า E-Pedal ที่สามารถเร่งและเบรครถด้วยคันเร่งเดียวได้ เหยียบก็เร่ง ปล่อยก็เบรก พร้อมนำพลังงานที่ได้จากการลดความเร็วกลับไปปั่นไฟ แต่ก็ยังมีแป้นเบรคอยู่เพื่อให้ผู้ใช้ยังอุ่นใจว่าตัวเองก็ยังควบคุม สามารถเบรกกระทันหันได้ แต่ถ้าไม่ชอบใจระบบนี้ก็สามารถปิดเพื่อใช้งานแบบปกติได้

ส่วนในเรื่องของแบตเตอรี่ทีมงาน Nissan แจ้งว่าแบตเตอรี่ของ Nissan LEAF นั้นมีอายุการใช้งานยาวนานนับสิบปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีอายุมากกว่าอายุของรถยนต์ปกติเสียอีก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่มากนัก แบตเตอรี่มีระยะรับประกัน 8 ปี หรือขับขี่ 180,000 กิโล ถ้าประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดก็สามารถเข้ารับบริการได้ นอกจากนี้ Nissan LEAF ยังได้รับการทดสอบกับสภาพต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นน้ำท่วม อากาศร้อนจัด อากาศเย็นจัด แรงกระแทก ไฟไหม้ เพื่อให้มั่นใจว่ารถจะสามารถทำงานได้ไม่มีปัญหา

ผลวิจัยชี้ ผู้ใช้ในไทย 44% พร้อมใช้รถไฟฟ้า

ผลวิจัยจาก Frost & Sullivan ระบุว่าผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 37% พร้อมเลือกใช้รถไฟฟ้าเป็นรถคันต่อไป ในขณะที่ผู้ใช้ในไทยพร้อมใช้รถไฟฟ้าในคันต่อไปกว่า 44%

ปัจจัยที่ผู้ซื้อยังกังวลอยู่เกี่ยวกับการใช้รถไฟฟ้า อันดับแรกคือความปลอดภัย เช่นขับกลางฝนไฟจะรั่วไหม ขับแล้วไฟจะหมดจนขับไม่ได้ไหม เรื่องต่อมาคือจุดชาร์จไฟที่ยังไม่ครอบคลุม และเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เรื่องที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุดในการใช้รถไฟฟ้าคือการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาล

ข้อมูลจากงานวิจัยระบุคนที่สนใจคือกลุ่มอายุต่ำกว่า 40 ปี และครอบครัวที่มีคน 4-5 คน ซึ่งกลุ่มนี้คือคนที่สนใจเทคโนโลยี รถสมัยใหม่ ไม่ใช่คนที่สนใจรถโบราณ และเป็นกลุ่มที่เป็นห่วงธรรมขาติ และมองหารถที่ราคาไม่แพง ไม่ได้ต้องการรถที่มีประสิทธิภาพสูง

ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่นิสสันและรัฐบาลทั่วโลกต้องวางแผนกันต่อไป

อนาคตกับรถยนต์ไร้คนขับ

นิสสันอธิบายว่ารถยนต์ไร้คนขับช่วยเหลือผู้คนได้หลายอย่าง เช่นทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง ลดความเครียดในการขับ ลดเวลา (เราเสียเวลาราว 1 สัปดาห์ต่อปีไปกับการขับรถ แต่ชาวกรุงเทพน่าจะเสียเวลามากกว่านั้น) ทำให้ถนนปลอดภัยขึ้น ที่จอดรถว่างมากขึ้น

หุ่น Eporo ที่เคลื่อนที่เป็นกลุ่มเหมือนปลา

ซึ่งนิสสันก็เริ่มพัฒนารถยนต์ไร้คนขับมานานแล้ว มีหุ่นยนต์ Eporo เพื่อเรียนรู้การขับเคลื่อนในพื้นที่รถติด โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของหมู่ปลา มีเซนเซอร์เลเซอร์ด้านหน้ามาตั้งแต่ปี 2013 และยังทดสอบกันอยู่ แต่เทคโนโลยีระหว่างทางที่พัฒนารถไร้คนขับก็นำมาใช้ในรถรุ่นปัจจุบันของ Nissan แล้ว เช่นระบบ ProPilot ที่มีใน Nissan LEAF และอีกหลายรุ่น อาศัยกล้อง เพื่อช่วยวิเคราะห์เลนถนนและรถคันหน้า ทำให้ขับขี่ได้ปลอดภัยขึ้น

Play video

โดยนิสสันตั้งเป้าว่าในปี 2022 ต้องพัฒนาไปถึงขั้นรถอัตโนมัติได้ ตอนนี้นิสสันก็มีรถอัตโนมัติต้นแบบออกมาลองขับบนท้องถนนแล้ว ซึ่งเต็มไปด้วยเซนเซอร์รอบตัว ทำให้ราคายังสูงอยู่ อนาคตอาจจะลดจำนวนเซนเซอร์ลงมาได้ และการป้องกันมอเตอร์ไซค์ก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะรถเล็ก วิ่งเร็ว ก็ต้องปรับปรุงเซนเซอร์ให้ตรวจจับได้ไกลขึ้น มากกว่า 100 เมตร