Apple เปิดตัว AirPods Pro 2 ที่พัฒนาหูฟังออกมาในหลายส่วนตั้งแต่เรื่องเสียงเพลง ระบบตัดเสียง หรือฟีเจอร์ที่ให้เสียงภายนอกเข้ามาได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Transparency mode) ซึ่งเคล็ดลับการเปลี่ยนแปลงของ AirPods Pro 2 คือเรื่องการออกแบบภายในให้เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ของอากาศ

เว็บไซต์ What Hi-Fi? ได้เผยแพร่บทสนทนากับ เอสเก แอนเดอร์สัน (Esge Andersen) วิศวกรจากทีมอะคูสติกของ Apple ซึ่งร่วมงานกับบริษัทมานานถึง 11 ปีแล้ว

เราต้องการมอบคุณภาพระดับ AirPods Max ในขนาดที่ใส่กระเป๋ากางเกงได้

เอสเก แอนเดอร์สัน

แม้ว่าดีไซน์ของ AirPods Pro 2 จะเหมือนกับ AirPods Pro รุ่นแรกแทบทุกประการ ยกเว้นเรื่องการออกแบบช่องทางการไหลของอากาศและตำแหน่งของไมค์ใหม่ ซึ่งการออกแบบช่องทางการไหลเวียนของอากาศสำหรับไดรเวอร์ใหม่ทำให้คุณภาพของเสียงดีขึ้นอย่างชัดเจน

จริง ๆ หลักการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นคุณสมบัติที่ผู้พัฒนาลำโพงระดับไฮเอนด์อย่าง B&W และ KEF ใช้กันอยู่แล้ว ซึ่งใน AirPods Pro 2 มีการปรับปรุงช่องระบายอากาศจาก 2 ช่องในรุ่นแรก เหลือ 1 ช่องในรุ่นที่ 2 โดยช่องดังกล่าวอยู่ที่ตำแหน่งด้านหลังของตัวหูฟัง

ด้วยการออกแบบช่องระบายอากาศใหม่ทำให้อากาศไหลเวียนได้ดีขึ้นตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ส่งผลให้คุณภาพของเสียงสูงและเบสที่ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเสียงสูงเป็นย่านที่มีความท้าทายในการพัฒนามากที่สุด อีกทั้งยังลดความผิดเพี้ยนจากการไหลเวียนของกระแสลมได้ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้เสียงเบสที่มีความผิดเพี้ยนน้อยลงกว่าเดิม

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ Apple ให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพของเสียงในทุกระดับความดังของเสียงที่เราฟัง บางคนอาจเคยฟังหูฟังบางประเภทแล้วพบว่าเมื่อเปิดดังขึ้นอาจมีคุณภาพเสียงที่แย่ลงกว่าเดิม ซึ่ง Apple ได้คิดอย่างรอบคอบในส่วนนี้ด้วย โดยการปรับแต่งให้ AirPods มีคุณภาพเสียงที่เหมือนกันในทุกระดับความดังของเสียงเลยครับ

มีประเด็นที่น่าสนใจซึ่งทาง What Hi-Fi? ได้ถามแอนเดอร์สันว่า Apple ตัดสินใจอย่างไรว่าจะให้ AirPods มีลักษณะของเสียงออกมาเป็นแบบไหน? ทางแอนเดอร์สันตอบว่า Apple มีทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านเสียง คอยฟังเสียงที่ได้จากหูฟัง เป็นเรื่องยากที่จะให้คน 1 คนหรือจำนวนไม่มากมาตัดสินทิศทางของเสียงอย่างไม่มีอคติ ซึ่ง Apple มองว่า หากมีทางที่จะพัฒนาเสียงให้ดีขึ้น บริษัทก็ยินดีที่จะทำอย่างเปิดใจ การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานคือสิ่งที่ Apple ให้ความสำคัญอยู่เสมอ

สุดท้ายคือเรื่อง Hi-Res

เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หลาย ๆ คนน่าจะคงมีคำถามอยู่ในใจว่าราคาระดับนี้ รุ่นที่ 2 ก็แล้ว แต่ทำไมถึงไม่รองรับ Hi-Res ทั้ง ๆ ที่ Apple Music เองก็รองรับ Lossless?

จริง ๆ ประเด็นนี้แอนเดอร์สันก็ตอบแบบเคอะเขินหน่อย ๆ ก็เป็นการไหลตามสไตล์ Apple คือเรื่องของตัวแปลงสัญญาณหรือ Codec ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากรุ่นแรก จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องข้อจำกัดของระบบไร้สายที่ยังไม่สามารถรองรับ Lossless ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งแอนเดอร์สันตอบว่า “ความน่าเชื่อถือ (หมายถึงความเสถียร หรือความนิ่งของสัญญาณ เพราะพอสัญญาณเป็น Lossless จะต้องการความเร็วในการส่งข้อมูลสูงขึ้น ทำให้เสียงถูกรบกวนง่ายขึ้น) เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นเมื่อคุณต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถทำงานกับอุปกรณ์จำนวนมากโดยไม่มีปัญหา”

ซึ่งเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าการพัฒนา Codec สำหรับ Lossless นั้นยังไม่เรียบร้อยดีนั่นเอง และยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่

ปัจจุบันมีการพัฒนา Codec มากมาย เช่น LDAC, MQair และ aptX Lossless ของ Sony ที่สามารถส่งข้อมูลเสียงที่มีคุณภาพมากขึ้นผ่าน Bluetooth ได้ แต่ Apple ยังไม่มี

ที่มา What Hi-Fi

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส