มาตามหลุด กับแว่น Mixed Reality ตัวแรกของ Apple เปิดตัวในงาน WWDC 2023 กับแว่น Vision Pro สุดล้ำที่เรียกได้ว่าอัดแน่นฟีเจอร์กันหนัก ๆ ด้วยเวลาเปิดตัวเกือบ 1 ชั่วโมง เต็ม มีอะไรเด็ด ไปดูกัน

แว่น Vision Pro มาพร้อมกับชิป SoC ด้วยกันถึง 2 ตัว นั่นคือชิป Apple M2 และ Apple R1 โดยจะแบ่งกันประมวลผลให้ M2 ประมวลหลัก และใช้ชิป R1 สำหรับประมวลผลเรี่องภาพโดยเฉพาะ พร้อมกับตัวรับ Input อย่างกล้องมากถึง 12 ตัว, เซนเซอร์เฉพาะ 5 ตัว และไมค์ 6 ตัว และด้วยขุมพลังของ R1 ทำให้การประมวลผลภาพ และส่งไปที่จอนั้นใช้เวลาเพียง 12 ms เท่านั้น ซึ่งเร็วกว่าการกะพริบตาของคนเราโดยเฉลี่ย 8 เท่า

ดีไซน์สุดโฉบเฉี่ยว และการออกแบบภายใน/ภายนอกแบบ modular ที่สามารถอดเปลี่ยนส่วนตัวเครื่อง, ตัว face wear และตัว head band ได้ ดีไซน์ภายนอกออกแบบมาให้เหมาะกับใช้งานแบบบทั้งวัน (แต่แบตอยู่แค่ 2 ชั่วโมง) แถมงานออกแบบภายในก็เรียกได้ว่าน่าประทับใจมาก ส่วนตัวจอแสดงผลใช้เทคโนโลยี micro-OLED ความละเอียด 23 ล้านพิกเซลต่อตาข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นความละเอียดที่มากกว่า 4K เสียอีก แถมยังลงทุนเอา ZEISS มาทำกระจกเลนส์ซะด้วย

Vision Pro ใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ที่ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์ AR โดยเฉพาะ ใช้ชื่อว่า visionOS ที่เป็น UX/UI สุดล้ำเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งาน AR ที่ดีที่สุด โดยตัว Interface ถือว่าหวือหวาพอสมควร และแน่นอนว่าสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ Apple ได้อย่างลงตัว และที่น่าสนใจคือ เราสามารถต่อออกเป็น External Display เพิ่มเติมจอให้กับ Mac ได้ด้วย เหมือนกับ Virtual Desktop บนแว่น VR

ระบบความปลอดภัยแบบใหม่ Optic ID ใช้ม่านตาในการยืนยันตัว โดยตัว data จะเป็นการเข้าระบบเฉพาะ และระบบ framework สำหรับการท่องเว็บ ที่จะไม่โดนเก็บข้อมูลจากกล้อง และการมองอย่างแน่นอน โดย Optic ID จะประมวลผลภาพของดวงตาที่จับโดยเซนเซอร์หลายสภาพแสง ด้วยเซนเซอร์ LED เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานนั่นเอง

ฟีเจอร์การสร้าง User Persona (Avatar) โดยใช้กล้อง และเซนเซอร์ของตัวเครื่องสแกนใบหน้าของผู้ใช้งานเก็บไว้เป็น texture และสร้างเป็นรูปแบบ 3D เพื่อนำมาใช้งานกับ การคำนวณ motion facial โดยใช้ประโยชน์จากเซนเซอร์ IR camera ด้านใน สร้างหน้าตาเสมือนออกมาได้สมจริง สำหรับใช้งาน FaceTime ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ได้ใหม่มาก แต่การนำมาประยุกต์ใช้งานนั้นเจ๋งเอามาก ๆ

ระบบการรับชมแบบ Spatial ทั้งระบบเสียง Spatial Audio และ Spatial Display ที่ทำให้การรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ทำได้สมจริง และมีการแสดงผลของทิศทางทั้งภาพ และเสียงแบบรอบด้าน แถมยังมีฟีเจอร์ Spatial Photo ที่ใช้กล้อง และเซนเซอร์เก็บภาพ และข้อมูลไว้แสดงผลแบบ Spatial ย้อนหลังได้

เด็ดดวงสุดก็คงจะเป็นแอป Disney 100 ที่เป็นการร่วมมือกันกับ Disney อย่างเป็นทางการทำแอป Disney+ ในเวอร์ชัน Spatial ที่จะเป็นเหมือน Theme Park และมีการแสดงผลที่เข้ากับคอนเทนต์ที่เราชม เช่นการนั่งดูซีรีส์ Star Wars ก็จะได้นั่งรับชมในยาน Speeder จากในภายในจักรวาล Star Wars และก็จะมีการแสดงผลเนื้อหาที่พิเศษเปลี่ยนไปตามธีมของคอนเทนต์ที่เราดู เช่น Marvel, Disney และอีกมาก

สเปกเวอร์ ฟีเจอร์อลัง แน่นอนว่าราคาก็อลังไม่แพ้กัน เปิดมาที่ 3,499 เหรียญ หรือประมาณ 120,000 บาทไทย โดยจะเริ่มจำหน่ายประมาณต้นปีหน้า

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส