ทีมขาย Dell จะต้องเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์
Dell Technologies เผยในจดหมายถึงพนักงานว่าพนักงานในทีมฝ่ายขายระหว่างประเทศที่สามารถเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศของบริษัทจะต้องทำงานในออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ...อ่านต่อ
ช่วงนี้ทุกคนน่าจะตื่นตัวกับเหตุภัยธรรมชาติน้ำท่วมที่รุกรานหลายจังหวัดของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตน้ำอย่างรุนแรง และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แม้ว่าความช่วยเหลือกำลังทยอยเข้าไปหาจากทั่วประเทศ แต่สิ่งที่พอจะบรรเทาความกังวลได้ โดยเฉพาะใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะสงสัยเรื่องนี้อย่างแน่นอนว่า ถ้าน้ำท่วมรถ EV ที่จอดทิ้งไว้นาน ๆ จะเป็นอะไรไหม ยังขับต่อได้รึเปล่า
ก่อนอื่นเรามาพูดถึงค่ามาตรฐานที่เรียกว่า IPRatings หรือ Ingress Protection Ratings ซึ่งเป็นค่าที่ใช้บอกถึงระดับการป้องกันของเหลวและของแข็ง หลายคนคุ้นเคยกับค่า IP นี้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือแกดเจตต่าง ๆ รถ EV เองก็ใช้มาตรฐาน IP เช่นเดียวกัน
ตัวเลขที่คนคุ้นเคยกันคือ IP67 หรือ IP68 ซึ่งตัวเลขแรก 6 คือค่าความต้านทานต่อของแข็ง จำพวกฝุ่นละออง ทราย หรือสิ่งสกปรกที่อาจเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ของคุณ และตัวเลขที่สอง 7 หรือ 8 คือค่าระดับการกันน้ำ ซึ่ง 7 หมายถึงสามารถทนทานต่อการจมอยู่ในน้ำจืดระดับไม่เกิน 1 เมตร นาน 30 นาที และ 8 สามารถทนทานต่อการจมอยู่ในน้ำจืดระดับไม่เกิน 1.5 เมตร นาน 30 นาที
รถ EV ส่วนใหญ่จะมีค่าอยู่ที่ประมาณ IP67 และสามารถลุยน้ำได้ระดับ 40 – 50 ซม. (ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น) พูดง่าย ๆ ว่าประมาณครึ่งล้อรถหรือบางรุ่นได้ระดับปริ่มขอบล่างของตัวรถเลย เนื่องจากรถ EV ทุกคันวางแบตเตอรี่ไว้ด้านล่างตัวรถ และมีการซีลป้องกันน้ำไว้ระดับหนึ่งจึงต้องมีการป้องกันการรั่วซึมของน้ำไว้ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบเซนเซอร์ที่ช่วยตัดไฟทันทีหากพบกระแสไฟรั่วไหล ทั้งนี้การซีลป้องกันน้ำหรือค่า IP อาจจะไม่ได้การันตีว่าจะสามารถป้องกันได้ 100% เพราะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจจะมีผลต่อการป้องกันของรถ EV แต่ละรุ่นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
หลายค่ายรถจึงมีคำแนะนำในการป้องกันและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้นเมื่อประสบเหตุอุทกภัยยามจำเป็น ยกตัวอย่าง Tesla มีวิธีจัดการกับรถที่จมน้ำไว้ดังนี้
แน่นอนว่ารถ EV ทุกคันไม่ควรจอดแช่น้ำ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนหรือระดับน้ำเท่าไหร่ ส่วนรถที่จำเป็นต้องจอดแช่น้ำเป็นเวลานานเนื่องจากประสบเหตุอุทกภัยฉับพลัน อาจเกิดปัญหาที่ตัววงจรอิเล็กทรอนิกส์ตามมาได้ เราแนะนำว่าห้ามสตาร์ตรถ (ซึ่งอาจสตาร์ตไม่ติดแล้ว) โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันความเสียหายมากขึ้นต่อระบบวงจร และให้ทางศูนย์บริการนำรถไปตรวจเช็กอย่างละเอียด รวมถึงติดต่อฝั่งประกันเพื่อหาแนวทางในการซ่อมบำรุงตามการรับประกันที่แต่ละคนซื้อกันไว้ น่าจะเป็นทางออกที่สวยที่สุดแล้วครับ