Screen Time คือเวลาในแต่ละวันที่ผู้คนใช้ไปกับหน้าจอสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่ง Screen Time ที่เพิ่มสูงขึ้นสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพได้ด้วยนะ

เคยสำรวจตัวเองกันไหมว่า ทุกวันนี้คุณใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเฉลี่ยวันละกี่ชั่วโมง ?

จากผลสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยในปี 2566 โดย สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พบว่า

  • คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 89.5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 88 เปอร์เซ็นต์
  • คนไทยใช้เวลาบนอินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 25 นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คือ 6 ชั่วโมง 45 นาที
  • กิจกรรมที่คนไทยนิยมทำบนอินเทอร์เน็ต ได้แก่ รับชมวิดีโอคอนเทนต์ พูดคุยบนบล็อกและกระทู้ โอนเงินผ่านเว็บไซต์ ชอปปิงออนไลน์ และสื่อความบันเทิงในโลกออนไลน์

เมื่อสื่อออนไลน์ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวันของคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเพื่อการติดต่อสื่อสาร การค้นหาข้อมูล การดูข่าวสาร หรือการพักผ่อนหย่อนใจ ผ่านอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบ ทั้งสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ ซึ่งการใช้สื่อออนไลน์อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากใช้หรือ ‘ติดจอ’ มากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจได้ 

อาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังติดจอ ได้แก่

  • รู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวายใจ หากไม่ได้ใช้สื่อออนไลน์
  • ใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากเกินไป จนละเลยกิจกรรมอื่น ๆ
  • ขาดสมาธิในการเรียนหรือการทำงาน
  • มีปัญหาด้านการนอนหลับ
  • มีอาการทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ก้าวร้าว เป็นต้น

ห้ามใจจากจอไม่ได้​ เรามีเครื่องมือง่าย ๆ​ มาช่วยจัดการ

เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยจัดสรรเวลาในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบเชิงลบของการใช้เทคโนโลยีมีมากมาย เรามีเทคนิคที่ช่วยจัดการเวลาหน้าจอของคุณ ดังต่อไปนี้

To-Do List Apps

การใช้แอปพลิเคชันที่ช่วยจัดทำรายการสิ่งที่ต้องทำ (To-Do List) เป็นวิธีที่ดีในการจัดการเวลา โดยแอปพลิเคชันเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถลิสต์งานที่ต้องทำ กำหนดเวลา และติดตามความคืบหน้าได้อย่างง่ายดาย เช่น Todoist, Microsoft To-Do, หรือ Any.do ที่มีการแจ้งเตือนที่ช่วยในการจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Pomodoro Technique

เทคนิค Pomodoro เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการเวลา และเพิ่มความสม่ำเสมอในการทำงาน การใช้เทคนิคนี้ โดยทำงานในช่วงเวลาสั้น ๆ (ประมาณ 25 นาที) แล้วพักผ่อนเป็นช่วงสั้น ๆ (ประมาณ 5 นาที) การใช้แอปพลิเคชัน Pomodoro Timer ช่วยให้เราสามารถติดตามเวลาทำงานและพักผ่อนได้อย่างมีระเบียบ

Calendar Apps

การใช้แอปพลิเคชันปฏิทินช่วยในการจัดการกิจกรรมและกำหนดการ Google Calendar, Microsoft Outlook, และ Apple Calendar เป็นตัวอย่างของแอปพลิเคชันที่ช่วยในการจัดกิจกรรมทั้งระยะสั้นและระยะยาว

Digital Note-Taking Tools

การใช้เครื่องมือบันทึกข้อความดิจิทัลช่วยในการจัดสรรไอเดียและข้อมูล Microsoft OneNote, Evernote หรือ Notion เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดเก็บข้อมูล บันทึกความคิด และแบ่งปันไฟล์ในรูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา

Focus Apps

แอปพลิเคชันที่ช่วยในการรักษาความมีสมาธิ และไม่ทำให้เวลาเสียหาย เช่น แอปฯ Forest ที่พัฒนาโดย Seekrtech ที่ออกแบบมาเพื่อทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ให้คุณปลูกต้นไม้ขณะที่คุณทำงาน (หรือเรียนหนังสือ) และต้องปกป้องต้นไม้นั้น จนกว่าจะทำงานเสร็จ (หรืออ่านหนังสือจบ) ทั้งยังสามารถสะสมเหรียญ ไปแลกเป็นต้นไม้จริง ปลูกในโครงการได้อีกด้วย

Digital Wellbeing / Screen Time Features

ระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์มือถือบางรุ่น จะมีคุณลักษณะเพื่อส่งเสริมการใช้งานเพื่อสุขภาพ เช่น Digital Wellbeing ใน Android หรือ Screen Time ใน iOS ที่ช่วยติดตามเวลาที่ใช้กับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ เช่น

  • Digital Wellbeing: พัฒนาโดย Google LLC ฟีเจอร์ที่เข้ามาช่วยลดการใช้งานโทรศัพท์มือถือ หรือลดการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์สำหรับผู้ใช้ Android เพื่อให้เราได้สามารถจดจ่อหรือโฟกัสต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้มากขึ้น รวมไปถึงการจำกัดการแจ้งเตือนขณะนอนหลับได้
  • Screen Time: ฟีเจอร์ในระบบ iOS ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงรายงานแบบเรียลไทม์ ที่แสดงระยะเวลาที่คุณใช้ iPhone หรือ iPad ของคุณ นอกจากนี้ ยังสามารถกำหนดขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่คุณต้องการจัดการได้อีกด้วย
  • ActionDash: ถูกพัฒนาขึ้นโดย ActionDash สำหรับผู้ใช้ Android เพื่อบาลานซ์ระหว่างการใช้เวลาบนหน้าจอ และการใช้เวลาในชีวิตจริง และช่วยคุณเอาชนะนิสัยติดโทรศัพท์ นอกจากนี้ แอปฯ นี้ยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมตนเอง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วย 
  • Google Family Link: พัฒนาโดย Google LLC เป็นแอปฯ ที่ติดตั้งในเครื่องของผู้ปกครอง (ใช้ได้ทั้ง Android และ iOS) และติดตั้งในเครื่องของบุตรหลาน (ใช้ได้เฉพาะ Android) โดยสามารถกำหนดการใช้งานแอปฯ ต่าง ๆ บนมือถือเด็ก เพื่อจำกัดการติดตั้งแอปฯ ใหม่ หากมีการดาวน์โหลดแอปฯ ที่ไม่เหมาะสม แอปฯ นั้นจะไม่ถูกติดตั้ง ช่วยจำกัดการเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เช่น เกม สื่อลามก การพนัน และระยะเวลาในการใช้หน้าจอ รวมถึงสามารถติดตามพิกัดตำแหน่งที่บุตรหลานอยู่ ณ ปัจจุบันได้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของแอปพลิเคชันยอดนิยมเท่านั้น คุณสามารถเลือกใช้แอปฯ อื่น ๆ ที่มีอยู่อย่างมากมายตามความเหมาะสมของวิถีชีวิต ความจำเป็น และลักษณะการทำงานของแต่ละคน ซึ่งการเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความเหนื่อยล้าจากอาการติดจอแล้ว ยังช่วยสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์แข็งแรงได้ด้วยนะครับ

เนื้อหาล่าสุด

POCO M6 Plus ผ่านการรับรองมาตรฐาน เตรียมเปิดตัวเพิ่มในตระกูล POCO M6

ดูเหมือนว่าสมาร์ตโฟนตระกูล POCO M6 จะมีสมาชิกเพิ่มมาอีก 1 รุ่น หลังจากที่มีการเปิดตัว POCO M6 Pro เป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2023 และในวันนี้ก็มีรายงานว่า POCO M6 Plus ...อ่านต่อ

Toyota ร่วมกับ Subaru และ Mazda เปิดตัวเครื่องยนต์ไฮบริดใหม่ หวังสู้กระแสรถ EV

แม้ว่าค่ายรถญี่ปุ่นจะดูขยับตัวช้าในเรื่อง EV แต่สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดคงไม่ใช่ เพราะล่าสุดทาง Toyota Motor เพิ่งจะเปิดตัวต้นแบบของเครื่องยนต์ไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ ...อ่านต่อ

Status Post
TECH Camera

Lisa กับกล้องใหม่ ARRI Alexa 35 ที่ช้อนได้ก็รีบช้อน ก่อนราคาขึ้น 🤪

📸 ใครไหวไปก่อนเลย… กับภาพเบื้องหลังของ LISA BLACKPINK ที่มาเป็นแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้า KITH คอลเลคชันใหม่ครับ
.
แถมยืนคู่กับกล้อง ‘ARRI ALEXA 35’ ที่ค่าตัวก็ปาไปแล้วเกือบ 3 ล้าน แบบนี้ ราคาจะขึ้นไปแตะหลัก 5-6 ล้าน ไหมนี่… 😂

Status Post
TECH IT News

ลองเล่น NOTHING ear หูฟังตัวท็อปรุ่นล่าสุด

แอดได้ลองเล่น NOTHING ear ถือเป็นหูฟัง Bluetooth ตัวท็อปรุ่นที่ 3 ของ NOTHING แล้ว ต่อจาก ear (1) และ ear (2) แต่มารุ่นที่ 3 เลขรุ่นหายซะงั้น

ดีไซน์ของรุ่นนี้แทบไม่ต่างจาก ear (2) คือจะแยกรุ่นได้จากตัวอักษรที่เขียนมากกว่า ก็เป็นดีไซน์เอกลักษณ์ของ NOTHING ที่ไม่มีแบรนด์ไหนใช้ภาษาในการออกแบบแบบนี้ ซึ่งก็มีให้เลือก 2 สีคือขาวกับดำเหมือนเดิม ส่วนการสวมใส่ถือเป็นหูฟังที่ใส่ได้สบายเลย

ถ้าเทียบกับ ear (2) แล้วถือว่า ear ให้รายละเอียดเสียงได้ดีกว่า ตัดเสียงภายนอกได้เงียบกริบ (สเปกเคลมว่าลดเสียงภายนอกได้ 45 dB เทียบกับรุ่นที่แล้วที่ 40 dB) แต่สัมผัสแรกที่ได้ฟัง NOTHING ear คือเป็นหูฟังที่จัดจ้านเรื่องเบสมาก ๆ ให้เบสมาตึ้บ ๆ แบบท่วมท้นตั้งแต่แรก ใครสายเบสน่าจะชอบ แต่ถ้าคิดว่ามันเยอะไปก็สามารถลดหรือปิดระดับ Bass Enhance หรือถ้าคิดว่าเสียงมาตรฐานมันดูแผดเสียงแรงไปหน่อย ก็สามารถปรับ EQ กลับมาเป็น Flat ให้เสียงนุ่มนวลลงได้ (ใช่ครับ เสียงมาตรฐานตอนแรกไม่ใช่ Flat)

นอกจากนี้รายละเอียดทางเทคนิคอื่น ๆ คือเป็นไดรเวอร์เซรามิก 11 มม. พร้อมรองรับเสียงระดับ Hi-Res ผ่าน LDAC และ LHDC ฟังได้นานสูงสุด 40.5 ชั่วโมง โดยวางจำหน่ายที่ราคา 5,599 บาทครับ

Kerry ประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่เป็น ‘KEX’ หลังหมดสิทธิ์ใช้ชื่อเดิม

เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศไทย เตรียมเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น 'KEX' หลังหมดสิทธิ์ใช้แบรนด์ 'Kerry'