American Pastoral เป็นชื่อนิยายรางวัลพูลิตเซอร์ ของ ฟิลิป รอธ เมื่อปี 1997 ซึ่งรางวัลนี้จะมอบให้กับผลงานสิ่งพิมพ์ที่ทรงคุณค่าสูงสุดของอเมริกาในแต่ละปี ซึ่งยังนับเป็นเรื่องแรกในไตรภาคชุดวิพากษ์ปัญหาสังคมอเมริกันของรอธ ที่ถูกขนานนามว่า American Trilogy โดยหลังจากเรื่องนี้ก็ยังมีนิยายอีกสองเรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับปัญหาคอมมิวนิสต์ใน I Married a Communist (1998) และอีกเรื่องพูดถึงปัญหาเรื่องผิวสีใน The Human Stain (2000) โดยเฉพาะเรื่องหลังนี้เคยถูกถ่ายทอดเป็นหนังจากผลงานของผู้กำกับออสการ์อย่าง โรเบิร์ต เบนตัน และได้นักแสดงมากฝีมือทั้ง แอนโธนี ฮอปกินส์ และนิโคล คิดแมน แสดงนำในปี 2003 ด้วย คิดว่าคงมีบางคนเคยดู และหลาย ๆ คนเคยผ่านตามาแล้ว

ใครจำพลอตเรื่องนี้ได้คงรู้ว่าความขัดแย้งของเรื่องราวสไตล์รอธนั้นไม่ธรรมดาเลยล่ะครับ

นิยายไตรภาคนี้เล่าผ่านสายตาของตัวละครสำคัญ ซึ่งปรากฏในผลงานหลายเล่มของรอธ นามว่า เนธาน ซัคเกอร์แมน นักเขียนชื่อดังที่เป็นทั้งผู้เล่าเรื่องราวและผู้เฝ้าสังเกตกลุ่มคนในแต่ละเรื่อง เปรียบไปเนธานก็คือรอธที่โลดแล่นอยู่นิยายของตนเองนั่นล่ะครับ โดย American Trilogy อิงเวลาตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนามและการต่อต้านสงครามช่วงทศวรรษ 1960 ใน American Pastoral เรื่อยมาจนถึงปัญหาผิวสีที่กลับมามีประเด็นมากขึ้นช่วงปีทศวรรษ 1990 ใน The Human Stain 

นอกจากประเด็นสงครามเวียดนาม แล้วหนังยังมีประเด็นผิวสี โดยอิงจากประวัติศาสตร์การลุกฮือของกลุ่มคนผิวดำต่อความอยุตธรรมของรัฐด้วย

ก่อนหน้านี้ว่ากันว่าผลงานของเขาที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันกว่า 50 ปีนั้น ไม่สามารถจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ แต่หลังจาก The Human Stain ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ค่ายหนังจึงได้เริ่มโครงการหนัง American Pastoral ในปี 2006 แต่กว่าจะแล้วเสร็จจนคว้า ยวน แมคเกรเกอร์ มาเป็นผู้กำกับครั้งแรกและนักแสดงนำอย่างในปัจจุบันก็ล่วงเลยมาถึงปี 2015 เลยทีเดียว ซึ่งแม้คะแนนในเว็บต่างประเทศที่หนังเปิดตัวไปก่อนตั้งแต่กันยายนของปีก่อนแล้วจะออกมาค่อนข้างไปทาง กลาง ๆ และออกจะมีเสียงตำหนิอยู่ไม่น้อยที่เอาผลงานพูลิตเซอร์มาทำได้ไม่ถึง แต่ผมเองดูแล้วในฐานะคนชอบดูหนังที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน ก็ต้องบอกว่า หนังไม่ได้แย่เลยครับ ค่อนข้างจะเฉียบคมและรักษาสาระของเรื่องไว้ได้อย่างพิถีพิถันเลยล่ะ 

หนังเป็นผลงานเขียนบทดัดแปลงของ จอห์น โรมาโน ที่เคยเขียนหนังดราม่ากฎหมายเรื่อง The Lincoln Lawyer (2011) มาแล้ว โดยในเรื่องนี้จะเล่าเรื่องของ เซมัวร์ สวีด เลโวฟ (ยวน) นักธุรกิจยิวสัญชาติอเมริกันผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสืบทอดโรงงานผลิตถุงมือต่อจากพ่อ ทั้งได้แต่งงานกับ ดอว์น (เจนนิเฟอร์ คอนเนลี) อดีตนางงามของรัฐ แต่ชีวิตครอบครัวที่น่าจะสมบูรณ์พร้อมของเขาก็ต้องพังทลายลง เมื่อลูกสาววัยรุ่นอย่าง เมอร์รี (ดาโกตา แฟนนิง) เกิดฝักใฝ่ในฝั่งซ้ายหัวรุนแรง และได้หายตัวไปจากบ้าน หลังจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับกลุ่มก่อการร้ายทางการเมืองที่คร่าชีวิตคนไป เป็นหน้าที่ของสวีดที่จะนำครอบครัวอันแตกสลายของเขากลับคืนมา

สวีด หนุ่มหล่อบ้านฐานะดี อดีตกัปตันทีมฟุตบอลและเบสบอลของเมือง ที่มีภรรยาแสนสวยกับธุรกิจย่านชานเมืองที่แสนสุข นี่คือคติแบบอเมริกันดรีม ที่เฝ้ารอการพังทลาย

โดยทั้งเรื่องได้เล่าผ่านนักเขียนอย่าง เนธาน (เดวิด สเตรทธาร์น) ที่ตั้งใจกลับมาหาข้อมูลเขียนหนังสือจากงานรวมรุ่นศิษย์เก่า ซึ่งการได้พบกับเพื่อนเก่าอย่าง เจอร์รี (รูเพิร์ต อีแวนส์) ที่เป็นน้องชายของสวีดก็ทำให้เขาทราบโศกนาฏกรรมของอเมริกันดรีมตัวจริงอย่างสวีดด้วย (ในหนัง The Human Stain ตัวละครเนธานนี้รับบทโดย แกรี ซีนีส) ซึ่งวิธีการเล่านี้ก็เรียกว่าซื่อตรงกับหนังสือมากครับ คือมันไม่จำเป็นต้องเล่าผ่านเนธานเลยตัวเรื่องก็เล่าด้วยตัวเองสมบูรณ์ได้แล้ว แต่การมีตัวละครเนธานก็เหมือนการให้เกียรติรอธล่ะนะ ใครไม่ใช่แฟนนิยายก็ขอให้เข้าใจไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ว่ามันมีเหตุผลอยู่

ตัวละคร เนธาน ที่เป็นเหมือนตัวแทนของ รอธ รับบทโดย เดวิด สเตรทธาร์น

สิ่งที่น่าชื่นชมและเป็นดาบสองคมของหนังเอง คือการเล่าโดยรักษาบรรยากาศแบบนิยายไว้ ทั้งชวนฝันสมชื่อเรื่องที่ Pastoral แปลว่าบทกลอนแห่งท้องทุ่งด้วย หนังเก็บเหตุการณ์สำคัญ ๆ ไว้ครบถ้วนในเวลาจำกัด จึงมีการข้ามช่วงเวลาแบบเป็นเดือน ๆ หรือ ปี ๆ อยู่บ่อยครั้งแบบไม่มีการบอกใบ้ใด ตรงนี้ทำให้ความลื่นไหลในการติดตามพัฒนาการของเรื่องและอารมณ์ตัวละครมันสะดุด ๆ นิดหน่อย รวมถึงบทพูดของเนธานบางช่วงที่จะชวนให้คิดตามแบบโควทคำนิยายมานั้น ดูแบบไว ๆ ในหนังคิดตามไม่ทันครับไม่รู้ว่ามันพูดอะไร ภาษาวรรณกรรมจ๋า งงมาก ถ้าเป็นหนังสือคงมีเวลาพินิจกลับไปกลับมาได้แล้วเข้าใจ แต่ถ้ามองข้ามพวกนี้ไปได้ หนังจัดว่าใช้ผลงานพูลิตเซอร์ได้คุ้มราคามากจริง ๆ มันทั้งชวนให้ฉุกคิด เข้าไปพัวพัน มีบทที่คมคาย น่าจดจำ และสุดท้ายเราก็ตรอมตรมไปกับตัวละครอย่างที่ว่า อเมริกันฝันสลายจริง ๆ

ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากคือ สวีดและภรรยา เดินทางไปขอโทษภรรยาของเหยื่อรายหนึ่งที่อาจตายจากฝีมือลูกสาวของพวกเขา โดยยืนยันว่าเป็นความผิดจากการเลี้ยงดูของเขาเอง (ซึ่งเราดูมาก็ไม่ได้เลี้ยงผิดอะไรเลย) เหยื่อที่รู้จักกันดีรายนั้นไม่กล่าวโทษสวีดเลยแต่บอกว่า พวกสวีดเองก็เป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้เหมือนกัน ต่างกันแค่ครอบครัวของเธอจะยังรักกันดังเดิมเหมือนก่อนสามีเธอตาย เพราะความทรงจำที่ครอบครัวรักกันดีนั้นไม่เปลี่ยนไป ต่างจากครอบครัวสวีด

อีกฉากที่ดีเช่นกันก็คือการปะทะคำพูดกันระหว่างสวีดที่ตามหาลูกสาว กับริต้าสาวตัวแทนกลุ่มใต้ดินที่เข้ามาติดต่อ ริต้าพยายามพูดว่าสวีดเป็นนายทุนเป็นเจ้าของโรงงาน กดขี่และเมินเฉยต่อความอยุติธรรมในโลกโดยเฉพาะกรณีเวียดนาม ซึ่งสวีดตอกกลับได้หมด แต่ริต้าเองก็ปักใจเชื่ออย่างนั้นอย่างไม่สั่นคลอนว่าการเป็นชนชั้นกลางแบบสวีดเป็นสิ่งเลวร้าย ตรงนี้อยากให้ไปชมฉากนี้เองครับจะเกิดคำถามย้อนกลับมาบ้านเราได้เหมือนกันว่าปัญหาทางการเมืองทำร้ายคนธรรมดา ครอบครัวธรรมดาอย่างสวีดมาแล้วเท่าไร และสิ่งที่ฝั่งหนึ่งปักใจเชื่อนั้นมันเป็นข้อเท็จจริงหรือเพียงมายาคติอย่างที่สวีดโดนกันแน่

ครอบครัวธรรมดามีความสุขแบบธรรมดา แต่มันคงไม่พอสำหรับยุคอุดมคติ

อีกประเด็นที่หนังพูดตั้งแต่ต้น ๆ เลยทั้งยังส่งผลลูกโซ่บานปลายมาตลอดเรื่องเลย คือรุ่นพ่อแม่ที่แสนสมบูรณ์พร้อม สร้างความลำบากให้กับรุ่นลูกที่ต้องไล่ตามมากขนาดไหน ตรงนี้เหมือนเคยอ่านบทความนานมาแล้วที่วิเคราะห์ว่าคนยุคใหม่ตั้งแต่เจนวายลงมานั้น ต้องประสบความลำบากในการเติมเต็มด้านจิตใจจากการไม่อาจทำได้อย่างคนรุ่นก่อนหน้า เพราะบริบทสังคมเปลี่ยนไปมากไม่เอื้อให้เกิดวีรกรรมบริสุทธิ์แบบยุคก่อน เช่นวีรบุรุษสงคราม หรือเศรษฐีแบบอเมริกันดรีมอีกแล้ว คิดว่านี่คงเป็นอีกหมุดหมายที่หนังวิพากษ์อยู่เช่นกันครับ

อีกหนึ่งฉากที่สะท้อนปมการไล่ตามความสมบูรณ์แบบอเมริกันดรีมของรุ่นลูกที่คมคายมาก ทั้งการแสดงของน้องหนูฮันนาห์นี่เจ๋งเป้งมากครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นบทซับซ้อนขนาดนี้ได้

สรุป

นิยายที่เป็นต้นธารของเรื่องที่ดีเยี่ยม ประกอบกับโปรดักชั่นสุดสวย และการแสดงที่ไม่ธรรมดาของนักแสดงทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ นี่คืองานที่วิพากษ์สังคม ปัญหาการเมือง ได้อย่างเป็นสากล และชวนให้ไตร่ตรองตามหนังอย่างลุ้นระทึกสไตล์ดราม่า ชวนอึดอัดในการตวงชั่งทางเลือกของตัวละคร ซึ่งไม่ต่างจากพวกเราทุก ๆ คนเลย ใครชอบแนวดราม่า+ประวัติศาสตร์+การเมือง+วรรณกรรม คือห้ามพลาดเลยครับ

เนื้อหาล่าสุด

20 ภาพยนตร์ที่มีสิทธิ์ได้ชิงออสการ์ 2018 สาขา “วิชวลเอฟเฟคยอดเยี่ยม”

Academy of Motion Picture Arts and Sciences (หรือ ออสการ์) ได้เปิดเผยรายชื่อ 20 ภาพยนตร์ ที่มีสิทธิ์ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ปี 2018 ในสาขา "วิชวลเอฟเฟคยอดเยี่ยม" (Best Visual ...อ่านต่อ

Huawei P11 จ่อมาพร้อมดีไซน์หน้าจอมีรอยบากคล้าย iPhone X

สำหรับ iPhone X แล้วหนึ่งในสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดตั้งแต่ช่วงเปิดตัวใหม่ ๆ เลยก็คือเรื่องของดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ที่มีรอยบาก (notch) อยู่ด้านบน ...อ่านต่อ