เมื่อพูดถึงญี่ปุ่น วัฒนธรรมการ์ตูน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของมังงะ แอนิเมชันหรือที่เรียกว่า อนิเมะ ถือเป็นสิ่งที่แยกไม่ขาดจากความเป็นญี่ปุ่น ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่น ทั้งความใส่ใจในรายละเอียดของงานภาพ การสอดแทรกประเด็นทางสังคมและปรัชญาอย่างลึกซึ้ง ทำให้สื่อเหล่านี้สามารถสร้างเรื่องราวที่กินใจ ครบรส และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย
ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็เป็นชาติที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโครงการสำรวจอวกาศที่แข็งแกร่งและเป้าหมายอันทะเยอทะยาน สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะ “อนิเมะ” ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นแรงบันดาลใจและเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศของโลก
จุดเริ่มต้นที่ขนานกันของสองเส้นทาง
เส้นทางสู่อวกาศของญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาเพื่อสร้างชาติใหม่ด้วยเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หนึ่งในผู้บุกเบิกคนสำคัญคือ ดร. ฮิเดโอะ อิโตะกะวะ (Dr. Hideo Itokawa) ผู้ริเริ่มการพัฒนาจรวดลำแรก และนำไปสู่การก่อตั้ง ISAS (Institute of Space and Astronautical Science) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติลำดับที่ 4 ที่สามารถส่งยานอวกาศขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จในปี ค.ศ.1970
ในฝั่งของโลกมังงะและอนิเมะ ในช่วงปี ค.ศ. 1950 ก็ได้เริ่มเห็นอนิเมะหลายเรื่องที่หยิบยกเรื่องราวของ “อวกาศ” มาเป็นฉากหลังแล้ว แม้ว่าจะเป็นเวลากว่า 10 ปี ก่อนการเดินทางสู่อวกาศของนักบินอวกาศ ยูริ กาการิน ในปี ค.ศ. 1961 โดยได้รับอิทธิพลจากสื่อตะวันตกที่ได้พูดถึงความฝันในการสำรวจอวกาศ
นักเขียนระดับตำนาน อย่างโอซามุ เท็ตสึกะ (Osamu Tezuka) ก็ได้เขียนมังงะ เรื่อง Lost World ซึ่งมีการพูดถึงการสำรวจอวกาศและอาจนับได้ว่าเป็นมังงะเรื่องแรกที่มีการพูดถึงเทคโนโลยีอวกาศ และต่อมาก็ได้เขียนเรื่อง เจ้าหนูปรมาณู (Astro Boy) ตามมาในปี ค.ศ. 1952 ซึ่งกลายเป็นต้นแบบให้กับอนิเมะแนวไซไฟผจญภัยในเวลาต่อมา
Space Battleship Yamato และแรงบันดาลใจที่ส่งต่อ
จุดเปลี่ยนที่ทำให้อนิเมะแนวอวกาศได้รับความนิยมและสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับวงการ คือ เรือรบอวกาศยามาโตะ (Space Battleship Yamato) ที่ถูกเขียนในปี ค.ศ. 1974 พร้อมกับนำมาทำเป็นอนิเมะและฉายออกอากาศในปีเดียวกัน
เรือรบอวกาศยามาโตะ เขียนโดย เลอิจิ มัตซึโมโตะ (Leiji Matsumoto) เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2119 เล่าถึงการนำเรือประจัญบานยามาโตะที่เป็นความภาคภูมิใจของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาดัดแปลงเป็นยานอวกาศเพื่อต่อสู้กับจักรวรรดิต่างดาวที่เข้ามาบุกโจมตีโลก ซึ่งเราจะได้เห็นการเดินทางท่องไปในระบบดาว ไปจนถึงการเดินทางข้ามกาแล็กซีด้วยเทคโนโลยีการ ”วาร์ป”
ยามาโตะ ไม่เพียงแต่ปลุกความตื่นเต้นในการผจญภัยในอวกาศ แต่ยังสร้างกระบวนทัศน์ใหม่และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้สร้างรุ่นหลัง ทั้ง โยชิยูกิ โทมิโนะ (Yoshiyuki Tomino) ผู้ให้กำเนิด โมบิลสูท กันดั้ม และผู้กำกับระดับตำนานอย่าง ฮิเดอากิ อันโนะ (Hideaki Anno) ผู้อยู่เบื้องหลังการ์ตูนดังหลายเรื่อง อย่าง Neon Genesis Evangelion
ในช่วงที่เรือรบอวกาศยามาโตะฉายอยู่นั้น ยังมีอีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ “โดราเอมอน” ที่เราคุ้นชินกันอยู่แล้วว่าเป็นเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมาย เช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพ หรือการเดินทางข้ามอวกาศ

เมื่อวิทยาศาสตร์ถูกนำมาเล่าผ่านลายเส้น
อิทธิพลของอนิเมะไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างแรงบันดาลใจ แต่ยังก้าวไปสู่การนำเสนอวิทยาศาสตร์ที่สมจริง เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสกับความท้าทายของการใช้ชีวิตและการทำงานในอวกาศ
- Planetes (ค.ศ. 2003) อนิเมะที่เล่าเรื่องของ “คนเก็บขยะอวกาศ” ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เรื่องนี้โดดเด่นในการนำเสนอหลักฟิสิกส์ของวงโคจรและการใช้ชีวิตบนสถานีอวกาศที่สมจริงอย่างน่าทึ่ง
- Twin Spica (ค.ศ. 2003) อนิเมะอีกเรื่องที่นักบินอวกาศตัวจริงแนะนำ บอกเล่าเส้นทางความฝันของเด็กสาวที่อยากเป็นนักบินอวกาศตามรอยเท้าพ่อที่เสียชีวิตในภารกิจ เรื่องนี้สะท้อนปรัชญาความยากลำบากและการเสียสละของนักสำรวจอวกาศได้อย่างลึกซึ้ง
- Space Brothers (ค.ศ. 2012) ผลงานที่ถูกยกย่องว่าสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ “อยากเป็นนักบินอวกาศ” ได้มากที่สุด เล่าเรื่องราวของสองพี่น้องที่ไล่ตามความฝันในการไปเหยียบดวงจันทร์ อนิเมะเรื่องนี้อ้างอิงองค์กรอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) รวมถึงจรวดและยานอวกาศที่มีอยู่จริง จนได้รับความร่วมมือจาก JAXA อย่างเต็มที่ ถึงขนาดที่นักบินอวกาศ อากิฮิโกะ โฮชิเดะ (Akihiko Hoshide) เคยพากย์เสียงตัวละครจากบนสถานีอวกาศนานาชาติมาแล้ว
จากทฤษฎีควอนตัมถึงปรัชญาผ่านดวงดาว
นอกจากการนำเสนอความสมจริง อนิเมะยังหยิบยืมทฤษฎีวิทยาศาสตร์และปรากฏการณ์ในอวกาศมาใช้เป็นแกนหลักในการเล่าเรื่องเชิงปรัชญาและสะท้อนความรู้สึกของมนุษย์
- 5 Centimeters per Second (ค.ศ. 2007) อนิเมะรักเศร้าของ มาโกโตะ ชินไค (Makoto Shinkai) ใช้ฉากการปล่อยจรวดที่ฐานปล่อยบนเกาะทาเนงะชิมะ เป็นสัญญะของการรอคอยอันยาวนานและระยะทางที่ห่างไกลของตัวละคร
- Steins;Gate (ค.ศ. 2011) แม้จะเป็นเรื่องราวของการเดินทางข้ามเวลา แต่ก็มีการพูดถึงทฤษฎีโลกคู่ขนาน หลุมดำขนาดจิ๋ว และหลักการทางควอนตัมฟิสิกส์ โดยมีองค์กรที่ล้อเลียน CERN เป็นฉากหลัง
- Your Name (ค.ศ. 2016) ผลงานสร้างชื่ออีกเรื่องของชินไค ก็นำปรากฏการณ์ดาวหางมาเป็นจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์รักสลับร่าง โดยอ้างอิงหลักฟิสิกส์จริงอย่าง ลิมิตโรช (Roche limit) ที่อธิบายการสลายตัวของวัตถุบนท้องฟ้า
- Dr. Stone (ค.ศ. 2019) เล่าเรื่องของโลกที่ผู้คนกลายเป็นหิน และตัวเอกต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อฟื้นฟูอารยธรรมขึ้นมาใหม่ อนิเมะเรื่องนี้สะท้อนแก่นแท้ของวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การส่งต่อองค์ความรู้ของมนุษยชาติ
ความเชื่อมโยงระหว่างโลกอนิเมะและความจริงในญี่ปุ่นนั้นเหนียวแน่นจนกลายเป็นระบบนิเวศที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน อนิเมะอย่าง Space Brothers ทำให้ JAXA เป็นที่รู้จักและเข้าถึงง่ายขึ้น ในขณะที่โครงการอวกาศจริง ๆ ก็กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีให้ผู้สร้างนำไปต่อยอดจินตนาการ แม้กระทั่งภารกิจเก็บขยะอวกาศที่เคยอยู่ในอนิเมะ Planetes วันนี้ก็กำลังถูกทดลองทำจริงโดยสตาร์ตอัปสัญชาติญี่ปุ่น
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องทดลอง แต่คือการทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและวัฒนธรรมสมัยนิยม การที่สื่อในประเทศพูดถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ คือกุญแจสำคัญในการสร้างบุคลากรที่จะมาเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศต่อไป
ครั้งต่อไปที่คุณเห็นจรวดทะยานขึ้นจากฐานปล่อยในญี่ปุ่น อาจมีเด็กคนหนึ่งกำลังมองดูด้วยสายตาเป็นประกาย และฝันว่าวันหนึ่งจะได้สร้างยานอวกาศแบบเดียวกับที่เคยเห็นในการ์ตูนที่รักก็เป็นได้