Samsung Galaxy S24 Series เปิดตัวอย่างเป็นทางการ กองบรรณาธิการของเรา เมื่อได้เครื่องทุกเครื่องของ S24 Series มาครบหน้าก็ไม่รอช้า จับเทสต์ทันที เพื่อพิสูจน์ว่าความเชื่อของชิป Exynos นั้นแย่กว่า ร้อนกว่า Snapdragon มาโดยตลอดนั้นจริงไหม โดยผู้เข้าร่วมแข่งขันของเราวันนี้ก็เริ่มด้วย S24, S24 Plus, S24 Ultra, S23 Ultra และ iPhone 15 Pro Max

ตอนแรกหยิบน้อง Pixel 7 Pro มาด้วย แต่น้องเทสต์แบบ Solar Bay ไม่ได้…

โดยเราแบ่งการทดสอบออกเป็น 3 แบบ คือแบบ 3DMark แบบ Wild Life (Rasters – None Ray Trace), 3DMark แบบ Solar Bay (Ray Tracing) และแบบ Geekbench 6 ได้ผลที่น่าสนใจออกมาดังนี้

เรามาเริ่มจากผลทดสอบ Wild Life แบบ Stress Test กันก่อน การทดสอบเป็นการทดสอบ Stress แบบ 20 รอบต่อเนื่อง (ทดสอบ 20 นาที) เพื่อดูวิธีการจัดการความร้อน และ Stability ของเครื่องว่าแม้ความร้อนจะเพิ่มขึ้นจากการประมวลผลโหด ๆ ต่อเนื่อง ประสิทธิภาพจะดรอปลงไหม ผลที่ออกมาจะแบ่งง่าย ๆ เป็น 2 คะแนน คือ คะแนนรอบลูปสูงสุดที่ตัวเครื่องทำได้ และ คะแนนรอบลูปต่ำสุดที่เครื่องทำได้

และผลทดสอบชุดแบบ Wild Life จะเป็นตัวทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผล และกราฟิกที่นิยมที่สุดของ 3DMark โดยเป็นชุดกราฟิกแบบ Rasters (None Ray Trace) หรือกราฟิกแบบเกมส่วนใหญ่ที่มีในตลาดมือถือ ณ ตอนนี้ โดยสิ่งที่เราจะโฟกัสคือรอบคะแนนต่ำสุดที่เครื่อง ซึ่งหากเครื่องไหนได้คะแนนเยอะในส่วนนี้ แปลว่าตัวเครื่องสามารถบาลานซ์ประสิทธิภาพ และจัดการความร้อนได้ดี \

3D Mark Wild Life Stress Test

มาดูในส่วนของรอบที่ได้คะแนนสูงสุดกันก่อน แน่นอนว่าพาร์ตนี้ S24 Ultra กินขาดที่ 17,639 คะแนน ในระดับอุณหภูมิปกติ Snapdragon 8 Gen 3 จะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลกราฟิกแบบ None Ray Tracing ที่โหดที่สุดในบรรดาชิปทุกตัวแล้วในตอนนี้ โดยตัวเครื่องมีอุณหภูมิต่ำสุดที่ 26 องศา และแบตเตอรี่หายไป 12%

ในส่วนของคะแนนต่ำสุดของแต่ละเครื่องที่ทำได้ S24 Plus ที่ใช้ชิป Exynos 2400 คือรุ่นที่ทำ Stability ได้ดีที่สุด ได้คะแนนในพาร์ต Stability ไปถึง 63.8% มากกว่า S24 Ultra ที่ใช้ Snapdragon 8 Gen 3 ที่ 50.3% จึงทำให้ S24 Plus ได้คะแนนในรอบต่ำสุด สูงที่สุดที่ 9,224 คะแนน แบตหายไป 13% อุณหภูมิอยู่ที่ 26 องศา – 46 องศา ร้อนกว่า Snapdragon 8 Gen 3 เพียง 3% (แต่ในเรื่อง Stability ดีกว่าเยอะมาก) แต่จากที่เราเทสต์กัน ตัว iPhone 15 Pro Max จะได้คะแนนเทสต์เยอะสุดในพาร์ตนี้ แต่ยังแพ้คะแนน Stability ให้กับ S24 Plus เพราะได้คะแนนเทสต์สูงสุดมาก แล้วพอเจอความร้อนประสิทธิภาพก็ลดลงเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า

3D Mark Solar Bay Stress Test

จบในพาร์ตของกราฟิกแบบ None Ray Trace มาดูในส่วนของ Solar Bay ซึ่งเป็นชุดทดสอบการประมวลผลแบบ Ray Tracing กราฟิกแบบใหม่ที่จะเป็นพื้นฐานของยุคเกมมิงในอนาคต ที่ถึงแม้เกมมือถือในปัจจุบันยังไม่มีให้เล่นมากนักก็ตาม แต่มันก็พอจะทดสอบได้ว่าด้วยกราฟิกระดับนี้ ใครจะเก่งกว่าใคร

พาร์ตรอบที่ได้คะแนนสูงสุดกันก่อนเช่นเดิม ผลออกมาน่าประหลาดใจ S24 Plus ที่ใช้ชิป Exynos 2400 ทำประสิทธิภาพการประมวลผลไปได้เยอะที่สุดที่ 8,905 คะแนน แบตเตอรี่หายไป 13% อุณหภูมิอยู่ที่ 30 องศา – 46 องศา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะข้างใน GPU เป็น Xclipse 940 สถาปัตยกรรม RDNA 3 ตัวแรงของ AMD นั่นเองส่วนอุณภูมิของ S24 Ultra จะอยู่ที่ 31 องศา – 43 องศา และแบตหายไป 10% (น้อยกว่า)

พาร์ตรอบที่ได้คะแนนต่ำสุด เพื่อเช็กเพื่อดู Stability หรือความสามารถในการบาลานซ์ความร้อน และประสิทธิภาพที่ทำได้ โดยคะนนสูงสุดจากรอบที่ต่ำสุดของทุกเครื่องก็คือ S24 Plus อีกรอบ กับคะแนน 5,755 คะแนน ได้คะแนน Stability ไป 64.6% มากกว่า S24 Ultra (Snapdragon 8 Gen 3 ) ที่เพียง 48.3% เท่านั้น

ส่วนในด้านความร้อน ถือว่าไม่ห่างกันมาก จากทุกการทดสอบ ความร้อนสูงสุดของ Exynos 2400 จะอยู่ที่ 47 องศา บนเครื่อง S24 รุ่นธรรมดา ก็มากกว่า S24 Plus ที่ 46 องศา ซึ่งก็น่าจะมาจากแผ่นระบายความร้อนของ S24 ที่เล็กกว่านิดหน่อย ส่วน Snapdragon 8 Gen 3 อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 43 องศา เย็นที่สุดเพราะมีระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ที่ใหญ่ที่สุด

เทสต์ด้วยอุปกรณ์จับความร้อน (ซ้ายไปขวา: Pixel 7 Pro, S24, S24+ S24 Ultra, S23 Ultra, iPhone 15 Pro Max)
ภาพด้านหน้าของเครื่อง เทสต์ด้วยอุปกรณ์จับความร้อน (ซ้ายไปขวา: Pixel 7 Pro, S24, S24+ S24 Ultra, S23 Ultra, iPhone 15 Pro Max)

สรุปคือ Exynos 2400 มีความสามารถในการ Stable ได้ดีกว่า Snapdragon 8 Gen 3 แม้อุณหภูมิจะสูงขึ้น ก็ไม่ทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปกว่าระดับที่ Snapdragon 8 Gen 3 ทำได้ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพ S24 Ultra ยังถือว่าทำได้ดีกว่าในการประมวลผลแบบกราฟิกส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ส่วน Exynos 2400 ทำได้ดีในด้าน Ray Tracing เพราะสถาปัตยกรรม RDNA 3 แต่เกมส่วนใหญ่ก็ไม่ใส่ Ray Trace เข้ามาในเกมมือถืออยู่ดี

Geekbench 6 Test

สุดท้ายเราจะปิดท้ายกันด้วยคะแนน Geekbench 6 ที่ถูกนิยมหยิบมาทดสอบด้วยเช่นเดียวกัน และจะเน้นไปที่ความสามารถในด้านการประมวลผล CPU รวม ๆ ของทั้งชิปเซ็ต ซึ่งผู้ที่ทำคะแนนไปได้สูงสุดก็คือ iPhone 15 Pro Max ที่ใช้ชิป A17 Pro ได้คะแนนด้าน Single Core ไปที่ 2,897 คะแนน และ Multi Core ไปที่ 7,196 คะแนน ซึ่งด้าน CPU ก็ยังคงเป็นของ Apple Silicon เขาล่ะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส