การกลับมากุมบังเหียนบริหารในสมรภูมิโทรคมนาคมไทยอีกครั้งของ ซิกเว่ เบรกเก้ (Sigve Brekke) ในฐานะประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้นำ แต่คือสัญญาณแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของทรู โดยทรูเพิ่งประกาศปรับโครงสร้างองค์กรและจัดทัพผู้บริหารใหม่ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ได้เผยให้เห็นเป้าหมายใหม่และความทะเยอทะยาน ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้า “ทรู” ให้เป็นมากกกว่าแค่ผู้ให้บริการเครือข่าย แต่ทรูจะกลายไปเป็นอะไรนั้นติดตามได้ในบทความนี้

ทรูจะกลายเป็น “AI-First & Customer Champion”

หัวใจสำคัญของการปรับโครงสร้างครั้งนี้ถูกสรุปไว้ในสองแนวคิดหลักที่ทรงพลัง: การเป็น AI-First Company และ การเป็นผู้นำด้านประสบการณ์ลูกค้า (Customer Champion) ซึ่งสะท้อนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ในโลกยุคใหม่ ทั้งสองสิ่งนี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

การประกาศจัดตั้งตำแหน่ง “หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Chief Data and AI Officer)” เป็นครั้งแรก ซึ่ง ณ วันที่ 7 สิงหาคมนี้ก็ยังไม่ระบุหัวหอกด้าน AI แต่มีแคนดิเดตจำนวน 2 คน ที่จะเปิดเผยพร้อมกับหัวหน้าผู้บริหารด้านอื่นที่ยังเป็นปริศนาในวันที่ 1 กันยายน 2025

เรียกได้ว่าเป็นการประกาศกร้าวว่า AI ไม่ใช่แค่ตัวช่วย แต่เป็น “แกนกลาง” ในทุกกระบวนการทำงานของทรูนับจากนี้ ตั้งแต่การวางแผน, การจัดการเครือข่ายอัตโนมัติ, ไปจนถึงการสร้างบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) วิสัยทัศน์นี้คือการเดิมพันว่า AI จะเป็นอาวุธสำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนบนสังเวียนโทรคมนาคมและตัวตนใหม่ ๆ ที่ทรูกำลังจะเป็น

ในขณะเดียวกัน การชูธง “Customer Champion” คือการประกาศว่าเทคโนโลยีทั้งหมดที่ทุ่มเทไปนั้น มีเป้าหมายปลายทางเดียวคือ “ลูกค้า” โครงสร้างองค์กรใหม่ที่ลดความซับซ้อน ลดขั้นตอนการตัดสินใจ และมอบอำนาจให้ทีมที่ใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น

ยุทธศาสตร์หลักสู่ยุคใหม่ของทรู

ภายใต้วิชันและเป้าหมายนี้ ได้มีการแตกย่อยออกมาเป็น 5 หลักการเชิงยุทธศาสตร์ที่เปรียบเสมือนเสาหลักของทรูในยุคใหม่

  1. การสร้างประสบการณ์ที่ดี (Customer Champion): การบริการลูกค้าเป็นงานหินสำหรับทุกธุรกิจ โดยทรูตั้งใจจะทำมากกว่าการแก้ปัญหา แต่คือการเข้าถึงและเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของตลาด
  2. บริการดิจิทัลในทุกมิติแบบครบจร (Win the Home): ยุทธศาสตร์นี้มองเห็นโอกาสมหาศาลในกว่า 23 ล้านครัวเรือนไทย โดยตั้งเป้าที่จะเป็นมากกว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แต่ตั้งใจจะเปลี่ยนให้ทรูกลายเป็น “ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ครบวงจร” ภายในบ้าน ตั้งแต่ความบันเทิง, บรอดแบนด์ ไปจนถึงโซลูชันสมาร์ตโฮม
  3. เร่งการเปลี่ยนผ่านธุรกิจลูกค้าองค์กร (Accelerating B2B Digital Transformation): ทรูกำลังจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้บริการเชื่อมต่อไปสู่การเป็น “พาร์ตเนอร์ด้านเทคโนโลยี” ที่นำเสนอโซลูชันดิจิทัลที่พิสูจน์ผลลัพธ์ได้จริงให้แก่ลูกค้าองค์กรและ SME
  4. ขับเคลื่อนอนาคตด้วย AI (Empowering the Future with AI): การวางยุทธศาสตร์เป็น AI-First และ Cloud-First คือการสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่ยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูง เพื่อให้องค์กรพร้อมปรับตัวและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา
  5. เน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Sharpened Focus on Digitalization): เป้าหมายที่ชัดเจนคือการเป็น “Legacy Free” หรือการปลดล็อกองค์กรจากข้อจำกัดของระบบเก่าที่เชื่องช้า เพื่อเปิดทางสู่ความคล่องตัว และขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

เป้าหมายที่จับต้องได้: บทพิสูจน์แรกใน 6 เดือนข้างหน้า

วิชันที่ยิ่งใหญ่และสวยหรูย่อมไร้ความหมายหากไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ แน่นอนว่าคุณซิกเว่ได้วางเป้าหมายระยะสั้นที่ชัดเจนและวัดผลได้ภายใน 6 เดือนข้างหน้า

  • One Network เสร็จสมบูรณ์ 100% (ภายใน ก.ย. 2025): นี่คือบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุดของการควบรวม โครงการนี้จะรวมโครงข่ายของทรูและดีแทคให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ 4G/5G ที่ดีขึ้นและครอบคลุมยิ่งขึ้น การนำคลื่นความถี่ที่เพิ่งประมูลมาอย่าง 2300 MHz และ 1500 MHz มาใช้งาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วและขยายความจุของเครือข่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ประสบการณ์ลูกค้าระดับ Omni-channel: เป้าหมายคือการทำให้ทุกช่องทางการบริการ ไม่ว่าจะเป็นช็อป, คอลเซ็นเตอร์ หรือแอปพลิเคชัน เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าสามารถเริ่มต้นทำธุรกรรมในช่องทางหนึ่งและไปจบในอีกช่องทางหนึ่งได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม

โอกาสและความท้าทายบนเส้นทางใหม่ของทรู

การปรับโครงสร้างและวิสัยทัศน์ของทรูครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่กล้าหาญและจำเป็น ท่ามกลางสมรภูมิโทรคมนาคมที่การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่ราคาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่วัดกันที่ “ประสบการณ์ของลูกค้า” และ “ความสามารถในการปรับตัวด้วยเทคโนโลยี”

โอกาส

  1. ความได้เปรียบจากการเป็น AI-First Mover: การประกาศตัวเป็น “AI-First Company” พร้อมตั้ง C-level เพื่อดูแลโดยตรง ทำให้ทรูโดดเด่นและมีโอกาสสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน หากสามารถนำ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างบริการเฉพาะบุคคล (Personalization) และแก้ปัญหาเชิงรุกได้จริง จะเป็นการยกระดับประสบการณ์ที่คู่แข่งตามได้ยาก
  2. พลังของโครงข่ายที่สมบูรณ์: หากโครงการ “One Network” และการนำคลื่นความถี่ใหม่มาใช้ประสบความสำเร็จตามแผน ทรูจะมีโครงข่ายที่แข็งแกร่งและครอบคลุมที่สุดรายหนึ่งในตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า
  3. ตลาด “Home Connectivity” ที่ยังมีช่องว่าง: การมุ่งเป้าไปที่ “Win the Home” เป็นการมองตลาดที่ชาญฉลาด เพราะเป็นการขยายธุรกิจออกจากแค่บริการมือถือ ไปสู่ระบบนิเวศของบ้านอัจฉริยะที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมหาศาล

ความท้าทาย

  1. การเปลี่ยนผ่านองค์กรขนาดใหญ่: ความท้าทายที่สุดคือ “การลงมือทำ” การรวมวัฒนธรรมองค์กรและปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานของพนักงานจำนวนมหาศาลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และการปลดล็อกตัวเองจากระบบเก่า (Legacy Free) เป็นภารกิจที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา
  2. การกอบกู้ความเชื่อมั่น: ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเผยให้เห็นผลกระทบจากเหตุการณ์เครือข่ายขัดข้อง แม้จะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว แต่มันได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของลูกค้า ดังนั้น การสื่อสารเรื่องเครือข่ายที่เชื่อถือได้จึงไม่ใช่แค่คำโฆษณา แต่เป็นสิ่งที่ทรูต้องพิสูจน์ให้ได้จริงและต่อเนื่อง
  3. การแข่งขันที่ดุเดือด: คู่แข่งในตลาดไม่ได้หยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงของทรูจะประสบความสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อลูกค้ารู้สึกถึงความแตกต่างที่ดีขึ้นอย่างจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วอินเทอร์เน็ต การบริการ หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ

โดยสรุป การประกาศ “ยุคใหม่” ของทรู คอร์ปอเรชั่น ภายใต้การนำของ ซิกเว่ เบรกเก้ คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่น่าจับตามอง ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน, การนำ AI มาเป็นหัวหอก, และเป้าหมายระยะสั้นที่ท้าทาย คำถามสำคัญไม่ใช่ว่าแผนของทรูดีหรือไม่ แต่คือทรูจะสามารถทำให้วิสัยทัศน์เหล่านี้กลายเป็นความจริงที่ลูกค้าสัมผัสได้เร็วและดีพอที่จะทิ้งห่างคู่แข่งในสมรภูมินี้ได้หรือไม่ ซึ่ง 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นบทพิสูจน์แรกที่สำคัญที่สุด