รอบิน รีฮันนา เฟนตี (Robyn Rihanna Fenty) หรือที่ส่วนใหญ่รู้จักกัน ‘รีฮันนา’ (Rihanna) นักร้องหญิงที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ได้เริ่มเดินเข้าสู่วงการดนตรีด้วยวัยเพียง 15 ปี ตอนที่เธอพบกับโปรดิวเซอร์ อีวาน โรเจอร์ส (Evan Rogers) ระหว่างที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ที่ บาร์เบโดส (Barbados) โดยโรเจอร์สแนะนำให้เธอไปอเมริกาเพื่อทำผลงานเพลงต่อ 2 ปีต่อมาเธอได้เซ็นสัญญากับ Def Jam Recordings ค่ายเพลงของศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างเจย์-ซี (Jay-Z) และเพลง “Umbrealla” ของเธอในตอนนั้นก็ดังเป็นพลุแตก ไม่ใช่แค่ในอเมริกาเท่านั้น แต่ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งของหลายประเทศ นานติดต่อกันหลายสัปดาห์ เป็นปรากฎการณ์ “เอลล่า เอลล่า เอ เอ” กันอยู่นานเลยทีเดียว

จากจุดนั้นถึงตรงนี้ ความสำเร็จในวงการเพลงหรือวงการบันเทิง (เธอแสดงภาพยนต์หลายเรื่องด้วย)​ ของ รีฮันนา เรียกได้ว่าคงภาพติดตาของเราทุกคนไปแล้ว มีเพลงขึ้นชาร์ตติดอันดับต้น ๆ ได้รางวัลแกรมมี่ไป 9 ครั้ง กลายเป็นนักร้องหญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่มีทรัพย์สินสูงถึง 600 ล้านเหรียญ แต่ความสำเร็จของเธอไม่ได้หยุดอยู่เพียงการเป็นศิลปินเพลงเท่านั้น เพราะก้าวต่อไปของเธอในฐานะนักธุรกิจก็กำลังเป็นไปได้ด้วยดี ชนิดที่ว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธุรกิจ ‘Savage x Fenty’ ของเธอได้รับเงินทุนสนับสนุนกว่า 115 ล้านเหรียญ และทำให้มันกลายเป็นธุรกิจมูล 1 พันล้านเหรียญในทันที นี่ยังไม่นับมูลค่าของ Fenty Skin, Fenty Beauty, Fenty Fashion และผลงานเพลงของเธอด้วย

ภาพโปรโมตคอลเลกชันต้อนรับวาเลนไทน์ 2021 (เครดิตภาพ: Savage x Fenty)

จุดเริ่มต้นของโอกาสในการเป็นนักธุรกิจของรีฮันนานั้นย้อนกลับไปช่วงปี 2014 ที่เธอได้เซ็นสัญญามูลค่า 1,000,000 เหรียญกับแบรนด์พูม่า (Puma) ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ (Creative Director) และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบผลิตภัณฑ์หลายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเท้าผ้าใบรุ่น ‘Creeper’ ที่เธอออกแบบ ขายหมดสต็อกออนไลน์ภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากเปิดตัว ยอดขายของพูม่ากระโดดขึ้น 17% ในไตรมาสนั้น

แต่ก้าวสำคัญคือหลังจากนั้นอีก 3 ปีที่เธอเปิดตัว ‘Fenty Beauty’ ไลน์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เป็นธุรกิจร่วมกันกับเครือแบรนด์หรูจากฝรั่งเศส Louis Vuitton Moët Hennessey (LVMH) ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ทำยอดขายกว่า 100 ล้านเหรียญในช่วงไม่กี่สัปดาห์และทะลุ 570 ล้านเหรียญภายใน 15 เดือน ถูกเรียกว่าเป็น 1 ใน 25 ผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์แห่งปี 2017 (ซึ่งในลิสต์นั้นก็มี iPhone X กับ Tesla Model 3 ด้วย) โดยนิตยสาร Time เลยทีเดียว เพราะผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางของ Fenty Beauty นั้นมีเฉดสีให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะผิวเฉดไหนก็สามารถหาที่เหมาะกับตัวเองได้ รีฮันนาให้สัมภาษณ์ว่า

“มันสำคัญมากที่ผู้หญิงทุกคนจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งร่วมกัน 100%”

นี่เป็นวิสัยทัศน์ทรงพลังของรีฮันนา เป็นข้อความที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเธอและแบรนด์ที่นำมาซึ่งความสำเร็จมหาศาล ตอนเปิดตัวมีรองพื้นให้เลือกมากถึง 40 เฉดสี สิ่งที่ Fenty Beauty พยายามทำคือแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่มักจะเน้นกลุ่มผู้หญิงผิวขาวและโทนกลางซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผู้หญิงผิวเข้มนั้นจะหาเครื่องสำอางใช้ได้ยากมาก เพราะฉะนั้นการเปิดตัวของ Fenty Beauty ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมนี้ทั้งหมด ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของผู้หญิงทุกคน ความสวยงามที่มีในทุกเฉดผิวสี และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนให้แบรนด์อื่น ๆ อย่าง Make Up For Ever และ L’Oréal เริ่มปล่อยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้หญิงผิวเข้มตามมาด้วย

Forbes คาดการณ์ว่า Fenty Beauty สร้างรายได้มากกว่า 600 ล้านเหรียญภายในปี 2019 ซึ่งถ้าเทียบตามสัดส่วนหุ้นที่รีฮันนาถือจะมีมูลค่าประมาณ 375 ล้านเหรียญ

เครื่องสำอาง Fenty Beauty (เครดิตภาพ: Fenty Beauty)

รีฮันนาเลือกใช้แบรนด์ ‘Fenty’ สำหรับธุรกิจอื่นๆที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดนตรี เพื่อให้คนที่ติดตามนั้นสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน เวลาเห็น Rihanna คือเรื่องเกี่ยวกับดนตรี ส่วน Fenty ที่เป็นนามสกุลของเธอคือธุรกิจอื่น

เมื่อ Fenty Beauty ประสบความสำเร็จ รีฮันนาก็ไม่รอช้า ต่อยอดสู่ธุรกิจชุดชั้นในลิงเฌอรี ชื่อว่า Savage x Fenty ในปี 2018 ที่ทำร่วมกับ TechStyle Fashion Group ที่มีบริษัทลงทุน Marcy Venture Partners ของเจย์-ซีเข้ามาถือหุ้นด้วย ซึ่งรีฮันนาเห็นแล้วว่าอุตสาหกรรมนี้ก็มีความไม่เท่าเทียมแฝงตัวอยู่ ตอบโจทย์ทั้งวิสัยทัศน์ความเชื่อของเธอและโอกาสทางธุรกิจด้วย (ตลาดชุดชั้นในมีมูลค่าประมาณ 13,000 ล้านเหรียญ) ไม่ใช่แค่เรื่องเฉดสีผิวเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมชุดชั้นในนั้นที่ผ่านมานั้นจะมีภาพฝังหัวว่าจะผู้หญิงต้องมีหุ่นเหมือนกับนางแบบวิคตอเรียซีเครตถึงจะเรียกว่าสวยหรือเซ็กซี่ แต่สำหรับ Fenty Beauty แล้วมันเป็นชุดชั้นในสำหรับผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหน ทุกคนสามารถสวยและมั่นใจได้ในแบบของตนเอง เธอกล่าวว่า

“ฉันมองหาตัวตนบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทุก ๆ คน ที่ปกติแล้วจะไม่ได้รับการใส่ใจในโลกของแฟชั่นที่เกี่ยวข้องกับชุดชั้นในและเซ็กซี่ – ที่สังคมมองว่าเซ็กซี่”

คอลเลกชันแรกขายหมดภายในเวลาไม่ถึงเดือน และรายได้ปีแรกอยู่ที่ราวๆ 150 ล้านเหรียญ

ต่อมาปี 2019 ก็ถึงตา Fenty Fashion ที่เธอเปิดตัวในช่วงงานแฟชั่นโชว์ที่นิวยอร์ก และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอแสดงให้เห็นว่าความสวยงามหรือแฟชั่นนั้นไม่ควรยึดติดกับภาพเดิม ๆ นางแบบที่ถูกคัดเลือกมานั้นไม่เหมือนอย่างที่คุ้นเคย แทบจะเรียกได้ว่าฉีกกฎของภาพจำที่เห็นนางแบบหุ่นบางที่ปกติจะเห็นบนงานแฟชั่นโชว์ต่าง ๆ ถึงขนาดที่ว่าหนังสือพิมพ์ The New York Times เขียนบทความพาดหัวว่า

“นี่ New York Fashion Week? หรือว่า Rihanna Inc.กันแน่?”

เธอยังเป็นหนึ่งในบุคคลที่ประสบความสำเร็จและบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลต่าง ๆ เรื่อยมา ปีที่ผ่านมาเธอบริจาคเงิน 8 ล้านเหรียญเพื่อช่วยเยียวยาสถานการณ์โควิด 19 บริจาค 1 ล้านเหรียญให้ผู้ยากไร้ในนิวยอร์ก บริจาค 2.1 ล้านเหรียญให้กับเหยื่อเคราะห์ร้ายที่โดนทำร้ายร่างกายในแอลเอ และอีก 5 ล้านเหรียญผ่านองค์กรการกุศล Clara Lionel Foundation ของเธอเองด้วย

ภาพโฆษณาคอลเลกชัน Spring 2021 ของแบรนด์ Savage x Fenty (เครดิตภาพ: Savage x Fenty)

แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างที่เธอนั้นไม่เจออุปสรรคอะไรขวางทางเลย แม้ว่า Savage X Fenty นั้นเพิ่งจะได้รับเงินทุนมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญ แต่ในส่วนของ Fenty Fashion ตอนนี้ได้หยุดพักการทำธุรกิจไปก่อนจนกว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้น ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากโรคระบาดโควิด 19 ที่ทำให้สภาพการเงินและเศรษฐกิจนั้นยังฝืดเคืองอย่างต่อเนื่อง ลูกค้ามีกำลังใช้จ่ายที่น้อยลงและสินค้าประเภทเสื้อผ้าราคาสูงก็กลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่าย แต่อย่างที่รู้ว่าไม่ใช่แค่แบรนด์ของเธอเท่านั้นที่โดนผลกระทบในครั้งนี้ เราเห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ที่แบรนด์เสื้อผ้าต้องปิดสาขาหรือไม่ก็ปิดตัวไปเลยก็มี

มีเสียงวิจารณ์ว่ารีฮันนานั้นเป็นเพียงนักร้องชื่อดังที่สร้างธุรกิจขึ้นมาเพื่อหารายได้จากแฟน ๆ ของเธอ ผิวเผินแล้วอาจจะมองอย่างนั้นได้ แต่ถ้าค้นลึกลงไปจะพอเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นเพียงแค่นักร้องพรสวรรค์ที่สร้างธุรกิจเพื่อหาเงินเก่ง แต่เธอเป็นคนที่มีความเชื่อและความกล้า สร้างความแตกต่าง เปลี่ยนแปลง ทำลายทัศนคติเก่า ๆ พยายามทำในสิ่งที่เชื่อนั้นให้เกิดขึ้นด้วยการลงมือทำ ที่ออกมาในรูปแบบของธุรกิจต่างๆ ด้วยวิสัยทัศน์เรื่องความเท่าเทียมและความสวยงามไม่แบ่งแยกเฉดผิว ทุกคนสวยงามในรูปแบบของตนเอง เธอทำให้แบรนด์อื่น ๆ ตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้ และปรับเปลี่ยนเพื่อให้สังคมที่อยู่นั้นดีขึ้นด้วย

มีประโยคบนรอยสักแบบกลับด้านบริเวณกระดูกไหปลาร้า เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเสมอเวลาที่เธอส่องกระจกว่า ทุกอย่างเป็นบทเรียนในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเกิดความผิดพลาดแค่ไหน

“Never a failure. Always a lesson.”

และนั่นคือบทเรียนสำคัญ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามในชีวิต

อ้างอิง 1 อ้างอิง 2 อ้างอิง 3 อ้างอิง 4 อ้างอิง 5 อ้างอิง 6 อ้างอิง 7 อ้างอิง 8 อ้างอิง 9

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส