เมื่อปลายปีที่แล้ว แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ผู้กำกับสาย Epic Dark Hell ได้ฤกษ์เปิดตัวผลงานออริจินัล ‘Rebel Moon’ หนังไซไฟมหากาพย์หนังอวกาศในแบบฉบับของเขาที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค โดยภาคแรก ‘A Child of Fire’ หรือ ‘บุตรแห่งเปลวไฟ’ ที่เข้าฉายไปแล้วได้รับกระแสตอบรับรวมทั้งคำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดี ได้คะแนน Tomatometer จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปเพียง 21% ภาค 2 อย่าง ‘The Scargiver’ หรือ ‘นักรบผู้ตีตรา’ ที่จะเข้าวันที่ 19 เมษายนนี้ รวมทั้งฉบับ Director’s Cut ที่เป็นเรต R ของทั้ง 2 ภาค (ตามสไตล์พี่เขา) ที่จะออกฉายตามมาภายหลัง เลยต้องกลายเป็นความหวังของหมู่บ้านไปแทน

ล่าสุด สไนเดอร์ได้ร่วมให้สัมภาษณ์กับรายการพอดแคสต์ ‘Joe Rogan Experience’ ที่เขาได้มานั่งเล่าถึงเรื่องราวหลังจากพ้นยุคสมัย Snyderverse ของ DCEU และการร่วมงานกับ Netflix ครั้งแรกในจักรวาลหนังซอมบี้ ‘Army of the Dead’ (2021) รวมทั้งดูแลงาน Prequel หนังปล้นคนเจาะเซฟ ‘Army of Thieves’ (2021) ก่อนจะนำแรงบันดาลใจของเขามาสรรค์สร้างเป็น ‘Rebel Moon’

Rebel Moon Part One A Child of Fire ©2023 NETFLIX

แต่ไม่ใช่แค่นั้น สไนเดอร์ยังขอขิงด้วยการนั่งคำนวณยอดผู้ชมด้วยคณิตศาสตร์แบบรวบรัด เพื่อจะอนุมานว่า ‘Rebel Moon’ ของเขานั้น ถ้าได้มีโอกาสเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ หนังของเขาอาจมียอดจำนวนผู้ชมมากกว่าหนังบล็อกบัสเตอร์ ‘Barbie’ ที่ทำรายได้มากที่สุดของปีที่แล้วไปมากกว่า 1,446 ล้านเหรียญ แถมยังเป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดของสตูดิโอ Warner Bros. (บ้านเก่าของสไนเดอร์) และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ปีนี้ถึง 8 สาขาเสียอีก ซึ่งงานนี้สไนเดอร์ให้เครดิตในระบบของ Netflix ที่ทำให้คนเข้าถึงได้อย่างแพร่หลายนั่นเอง

“คุณทุกคนมักจะนึกถึง Netflix ทุกครั้งที่คุณกำลังจะกดปุ่มใช่ไหมละครับ แล้ว ‘Rebel Moon’ น่ะ มียอดวิวประมาณเกือบ 90 ล้านครั้ง มี 80 หรือ 90 บัญชีที่ได้เปิดหนังเรื่องนี้ คิดแบบขาด ๆ เกิน ๆ ตีไปซะว่ามีคนดู 1 จอก็ 2 คน ผมลองคิดดูแบบคณิตศาสตร์ง่าย ๆ นะ ถ้าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในรูปแบบการจัดจำหน่ายหนังแบบปกติ เท่ากับว่าจะมีคนดูราว ๆ 160 ล้านคน แล้วถ้าคิดค่าตั๋ว 160 ล้านคนนั้นในราคาใบละ 10 เหรียญ …ก็เท่ากับประมาณ 1,600 ล้านเหรียญไหมนะ ? นี่คือคิดเลขแบบโง่ ๆ เลยนะ ไม่รู้ถูกไหม… ถ้าเป็นแบบนี้ก็แสดงว่า ต้องมีคนดู ‘Rebel Moon’ มากกว่า ‘Barbie’ ถูกไหมครับ”

“Netflix นี่เป็นอะไรที่โคตรบ้ามาก มันเป็นระบบการเผยแพร่ที่เขาคิดค้นขึ้นมา วันก่อนผมคุยเรื่องนี้ เรากำลังพูดถึง ‘Rebel Moon 2’ กัน แล้วพวกเขาก็บอกว่า ‘มาพูดถึงเรื่องภาคแรกกันมั้ยล่ะ’ แล้วผมก็บอกว่า ‘ไม่ มึงกลับไปดูมาก่อน กูรู้ว่าบ้านมึงก็มี Netflix…’ คือมันไม่เหมือนกับหนังที่เข้าฉายในโรงนะครับ คุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็เปิดดูได้เลยตอนนี้ถ้าหากต้องการ ด้วยรูปแบบนี้ มันเป็นอะไรที่บ้าจริง ๆ เครื่องมือที่เขาสร้างมันเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบไปเลย ลองคิดตามดูนะครับ มันบ้ามากจริง ๆ “

Charlie Hunnam Rebel Moon

เพื่อพิสูจน์ข้ออนุมานนี้ สไนเดอร์ได้ยกตัวอย่างถึงบริการสตรีมมิงยักษ์ใหญ่ ที่ทำให้การแข่งขันกีฬาที่มีคนดูเฉพาะทาง ที่สามารถเผยแพร่ไปสู่ผู้ชมในวงกว้างได้ “Netflix สามารถแทรกตัวเข้าไปใน Pop Culture ที่เฉพาะทางมาก ๆ ได้ เช่นสารคดีเกี่ยวกับ Formula 1 (‘Formula 1: Drive to Survive’) คุณจะเอาเรื่องแบบนี้มาให้คนดูได้ไง ไม่มีทาง ถ้าฉายในโรงหนัง คงมีคนไปดูกัน 5 คนน่ะ แบบว่า 5 คนจริง ๆ เลยน่ะ แต่พอลงฉายทีวี มันจะมีคนที่ดูเกือบ 100 ล้านคน ซึ่งมันโคตรจะบ้า”

“มันเป็นรูปแบบที่แตกต่างกัน เป็นการให้ทางเลือกกับผู้ชม มันก็เหมือนกับ ‘Rebel Moon’ นี่แหละ คนอาจจะสงสัยว่า มันคือแฟรนไชส์ใหม่ใช่ไหม แม่-ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันคืออะไร เป็นหนังอวกาศอะไรทำนองนี้แหละ งั้นก็ลองกดดูสิ… มันมีกำแพงในการเข้าถึงน้อยมาก จนทำให้สามารถมีงานที่แปลกใหม่และแปลกประหลาดออกมาได้มากขึ้น”

สไนเดอร์เองคงไม่ได้ถึงกับจะจงเกลียดจงชังอะไรกับหนัง ‘Barbie’ เพราะแม้หนังไลฟ์แอ็กชันตุ๊กตาหญิงสาวที่ได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกเรื่องนี้ จะแอบมี Easter Egg ที่มีบาร์บี้คนหนึ่งพูดพาดพิงหนัง ‘Zack Snyder’s Justice League’ (2021) กันแบบจะ ๆ แต่เจ้าของหนังที่ขึ้นอันดับ 1 ของ Netflix ทั่วโลกอย่างสไนเดอร์ก็เคยออกมาพูดถึงเกี่ยวกับ Easter Egg นี้กับบทสัมภาษณ์ของ Men’s Health ด้วยความกระตือรือร้น

“ผมคิดว่า (‘Barbie’) เจ๋งมากนะครับ และผมคิดว่ามุกตลกอันนี้ก็ถือว่าค่อนข้างจะดีเลยล่ะ”