คงไม่มีใครปฏิเสธว่า DC คือเจ้าของแบรนด์และคาแรกเตอร์ซูเปอร์ฮีโรชื่อดังระดับโลก และก็ยังเป็นสตูดิโอผู้ผลิตหนังซูเปอร์ฮีโรที่ยิ่งใหญ่ยืนยงมาอย่างยาวนาน ที่ตีคู่มากับแบรนด์คู่แข่งอย่าง Marvel ที่ประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว

แต่ด้วยหลาย ๆ ปัจจัย ทำให้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หนังซูเปอร์ฮีโรของ DC ส่วนใหญ่กลับประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่า และภาพรวมจักรวาลที่ไม่เป็นเอกภาพ และคุณภาพของหนังหลายเรื่องที่โดนวิจารณ์อย่างหนัก จนทำให้บริษัทแม่อย่าง Warner Bros. หรือ Warner Bros. Discovery ในปัจจุบัน โดนแฟนหนังวิจารณ์สับเละทั้งในด้านคุณภาพของหนัง และการบริหารงานที่ผิดพลาดและขาดวิสัยทัศน์

จนทำให้ยิ่งนานวัน จักรวาล DCEU ก็ยิ่งเจอกับปัญหาโลกแตกที่แสนจะยุ่งยากมากขึ้นเรื่อย ๆ บทความนี้จะพาไปย้อนดู 3 เหตุการณ์สำคัญในรอบทศวรรษของ DCEU ก่อนถึงวาระการรีเซตจักรวาลของ 2 ผู้บริหารใหม่ ที่เหมือนเป็นความหวังครั้งใหม่ ที่แฟนหนังต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่า จักรวาล DCU จะกลายเป็นจักรวาลใหม่อันเรืองรองของ DC ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หรือเป็นเพียงอีกจักรวาลที่ชวนให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิม


ดราม่า แซ็ก สไนเดอร์ และ ‘Justice League’ จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดจักรวาล Snyderverse

ปี 2012 นับเป็นอีกปีที่เป็นจุดเริ่มต้นการมาถึงของยุคสมัยแห่งหนังซูเปอร์ฮีโรอย่างแท้จริง จากความสำเร็จของค่ายคอมิกซูเปอร์ฮีโรยักษ์ใหญ่ ทั้ง Marvel Studios ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากหนังรวมซูเปอร์ฮีโรเรื่องแรก ‘The Avengers’ (2012)

ส่วนฝั่ง DC เองก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับแนวทางหนังซูเปอร์ฮีโรสายดาร์กในไตรภาค ‘The Dark Knight’ ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) เป็นตัวเปิดศักราชแห่งการแข่งขันของ 2 จักรวาลยักษ์ใหญ่ ที่ฝ่ายหนึ่งประสบความสำเร็จงดงาม ตามแนวทางการสร้างจักรวาลที่มีแนวทางชัดเจน แต่อีกฝ่ายกลับล้มเหลวในการวางทิศทางหนังของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง

จนกระทั่งในปี 2013 Warner Bros. บริษัทแม่ของ DC จึงเล็งเห็นว่าการวางแผนสร้างจักรวาลของตัวเอง น่าจะตอบโจทย์กับ DC ที่ต้องการจะไปให้ถึงฝั่งฝัน เช่นเดียวกับที่ Marvel ทำได้สำเร็จมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยมีหนังบุรุษเหล็กฉบับรีบูตใหม่ ‘Man of Steel’ ก็เสมือนเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาลใหม่ของ DC ที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า จักรวาลภาคขยายของ DC หรือ DCEU (DC Extended Universe)

แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) ผู้กำกับ ‘Man of Steel’ จึงกลายมาเป็นผู้วางรากฐานสำคัญให้กับจักรวาล DCEU เขาเองได้วางแนวทางจักรวาลของตัวเองในระยะสั้น ๆ ที่ถูกเรียกในภายหลังว่า สไนเดอร์เวิร์ส (Snyderverse) ที่มีสไตล์ ธีม และเนื้อเรื่องสุดดาร์กหม่นมืด ที่นำเสนอผ่านหนังเดี่ยวของซูเปอร์ฮีโร ก่อนจะปูทางไปสู่หนังรวมซูเปอร์ฮีโร ‘Justice League’ ที่วางแผนไว้แต่แรกว่าจะมี 2 ภาคในภายหลัง หลังจากความสำเร็จของ ‘Man of Steel’ ทำให้หนังเรื่องต่อไป ที่จะเป็นการปะทะกันครั้งประวัติศาสตร์ของ 2 ซูเปอร์ฮีโรตัวท็อปของ DC กลายเป็นที่คาดหวังไม่น้อย

แม้ว่าจะทำรายได้บน Box Office มากพอสมควร แต่สุดท้าย ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ หนัง ซูเปอร์แมน ปะทะ แบทแมน ที่ออกฉายในปี 2016 กลับล้มเหลวด้านคำวิจารณ์แบบผิดคาด ทำให้มีข่าวลือจากสื่อหลายสำนักว่า ผู้บริหารของ Warner Bros. บางส่วนเริ่มไม่ค่อยไว้ใจวิสัยทัศน์ของสไนเดอร์ จนถึงขั้นเสนอให้ เกรก ซิลเวอร์แมน (Greg Silverman) ประธานฝ่ายโปรดักชันและครีเอทีฟของ Warner Bros. ให้ปลดเขาออกจากการกำกับหนังรวมซูเปอร์ฮีโร ‘Justice League’

มีรายงานจากแหล่งข่าววงในที่เปิดเผยว่า สไนเดอร์ได้เข้าพูดคุยเจรจา ซึ่งซิลเวอร์แมนได้ต่อว่าเขาอย่างรุนแรง จนเกือบจะไล่เขาออกจากหนังแล้ว แต่สุดท้าย เควิน ซูจิฮาระ (Kevin Tsujihara) อดีตซีอีโอของ Warner Bros. เป็นคนที่รั้งตัวเขาเอาไว้ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการที่สไนเดอร์จะต้องถูกสอดส่อง ล้วงลูกในระหว่างที่เขากำกับ ‘Justice League’ ทั้งการปรับบทให้เหลือเพียงแค่ภาคเดียว การสั่งให้เปลี่ยนแนวทางเนื้อหาดาร์กหม่นให้สว่างขึ้นเหมือนหนังของ Marvel จนถึงขั้นส่ง เจฟฟ์ จอห์นส์ (Geoff Johns) หัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟของ DC และ จอน เบิร์ก (Jon Berg) หัวหน้าฝ่ายโปรดักชันของ Warner Bros. ไปเฝ้ากองถ่ายทุกวันแบบไม่ให้คลาดสายตา

Gal Gadot

ปี 2017 สไนเดอร์ได้ฉายหนังเวอร์ชัน Rough Cut ความยาว 4 ชั่วโมงให้กับผู้บริหารได้ดู แต่สุดท้ายผู้บริหารเองก็ยังไม่ชอบแนวทางของหนังที่ยังสดใสไม่พอ พร้อมออกคำสั่งให้ตัดหนังออกให้เหลือไม่เกิน 2 ชั่วโมง เท่านั้นยังไม่พอ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อ ออทัม สไนเดอร์ (Autumn Snyder) ลูกสาวของสไนเดอร์ เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย หลังเผชิญปัญหาโรคซึมเศร้ามานาน

แม้สไนเดอร์จะยังตัดสินใจฝีนกลับมาทำงานเพื่อหวังจะลบความเจ็บปวด แต่สุดท้ายเขาก็รับมือกับความกดดันไม่ไหว ทั้งสภาพจิตใจที่แตกสลายจากความสูญเสีย และความกดดันจากการงานที่ถูกควบคุมทุกเม็ด จนทำให้เขาและ เดบอราห์ สไนเดอร์ (Deborah Snyder) ภรรยาของสไนเดอร์ และผู้อำนวยการสร้าง ต้องถอนตัวจากการกำกับไปในที่สุด

และเมื่อ DC กำลังต้องการโทนสดใสแบบเดียวกับ Marvel วิธีที่เลือกทำก็คือ การดึงเอา จอสส์ วีดอน (Joss Whedon) ผู้กำกับ ‘The Avengers’ มาสานต่อให้เสร็จเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาต้องเข้ามาปรับบท ถ่ายทำต่อ ถ่ายซ่อม และรื้อสิ่งที่สไนเดอร์ทำไว้เกือบทั้งหมดราว 70%

แถมยังต้องเจอปัญหา เมื่อ เฮนรี คาวิลล์ (Henry Cavill) เจ้าของบทบุรุษเหล็ก Superman ที่กำลังติดถ่ายหนัง ‘Mission: Impossible – Fallout’ (2018) และต้องไว้หนวดตามคาแรกเตอร์ ซึ่งแม้จะเคยมีการเจรจามาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้าย ทางโปรดิวเซอร์ของหนัง และเจ้าของหนังอย่าง Paramount Pictures ก็ไม่อนุญาตให้คาวิลล์โกนหนวดอย่างเด็ดขาด คาวิลล์จึงต้องรับบทซูเปอร์แมนมีหนวด ก่อนจะให้ทีมวิชวลเอฟเฟกต์ใช้ CG ลบหนวดออกไปจนดูไม่จืดและโดนล้อเลียนในเวลาต่อมา โดยใช้งบถ่ายซ่อมรวมกว่า 25 ล้านเหรียญ

แถมในระหว่างถ่ายซ่อม นักแสดงหลายคนก็ต้องเผชิญปัญหาจากความไม่เป็นมืออาชีพ และพฤติกรรมในระหว่างทำงานของวีดอน จนทำให้นักแสดงต่างออกมาแฉพฤติกรรมของผู้กำกับดังกันยกใหญ่ เริ่มตั้งแต่ เรย์ ฟิชเชอร์ (Ray Fisher) เจ้าของบท Cyborg ที่ได้ทวีตแฉว่า พฤติกรรมของวีดอนช่างน่าขยะแขยง ทั้งคุกคาม ไม่เป็นมืออาชีพ และมีความคิดเหยียดผิว รวมทั้งยังขู่ว่าจะตัดบทของ ไซบอร์ค ในหนังออกด้วย

นอกจากนี้ กัล กาด็อต (Gal Gadot) เจ้าของบท Wonder Woman ก็มีปัญหาการทำงานกับวีดอนเหมือนกันทั้งการพยายามปรับคาแรกเตอร์ให้ดูก้าวร้าวกว่าในหนังเดี่ยว’Wonder Woman’ รวมทั้งยังมีรายงานว่า วีดอนพยายามจะสอดแทรกมุกตลกในเชิงคุกคามทางเพศ ทั้งการตั้งมุมกล้องถ่ายโฟกัสบั้นท้ายของกาด็อต คู่กับใบหน้าของ เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) รวมทั้งฉากที่ให้ The Flash ล้มทับหน้าอกของวันเดอร์วูแมน และวีดอนยังเคยสั่งในเชิงข่มขู่ให้เธอหุบปากทำตัวสวยๆ และพูดไปตามบท อย่าออกความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับหนัง มิเช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนบทให้เธอดูโง่ในหนัง และขู่ว่าจะทำลายอาชีพนักแสดงของเธอเสีย

แต่ปัญหาทั้งหมดนี้ ก็จำต้องคลี่คลายและทำให้เสร็จสิ้นทั้งหมดก่อนถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 2 เดือนโดยไม่มีการเลื่อนฉาย นั่นก็เป็นเพราะว่า ซูจิฮาระ และ โทบี เอ็มเมอริช (Toby Emmerich) ประธานของ Warner Bros. Pictures ต้องการทำหนังให้เสร็จพร้อมฉายก่อนสิ้นปี 2017 เพื่อจะได้รับโบนัส ก่อนการควบรวมกิจการระหว่าง Warner Bros. และ AT&T จะเกิดขึ้นและก่อนที่พวกเขาอาจจะไม่ได้นั่งเก้าอี้อีกต่อไป

จนในที่สุด ‘Justice League’ เวอร์ชันแรกที่ออกฉายในปี 2017 แต่นั่นก็ดูจะเป็นการซ้ำเติมจักรวาลให้ย่ำแย่ลงไปอีก เพราะตัวหนังที่ได้รับคำวิจารณ์แง่ลบ และรายได้ที่ล้มเหลวแบบแทบแทบจะไม่มีรายได้คืนทุน กลายเป็นอีกรอยด่างพร้อยที่ทำให้ DCEU และ Warner Bros. โดนวิจารณ์การบริหารงานอย่างยกใหญ่ จนต้องเริ่มเบนเข็มไปสร้างหนังเดี่ยวของซูเปอร์ฮีโรในเวลาต่อมา

ในเวลาต่อมา แฟนคลับเดนตายส่วนหนึ่งที่ทราบข่าวว่า ‘Justice League’ ในเวอร์ชันของสไนเดอร์นั้นมีความยาวถึง 4 ชั่วโมง จึงได้ก่อตั้งแคมเปญเพื่อเรียกร้องให้ Warner Bros. ปล่อย ‘Justice League’ เวอร์ชัน 4 ชั่วโมงของสไนเดอร์ออกมา จนกลายเป็นแฮชแท็ก #ReleaseTheSnyderCut ที่ทุ่มทุนถึงขั้นล่ารายชื่อ และซื้อสื่อเพื่อโปรโมตอย่างจริงจัง เมื่อกระแสแพร่สะพัด ทีมนักแสดงก็เริ่มออกมาแสดงออกเรียกร้องในภายหลังด้วย จนทำให้สไนเดอร์ได้โพสต์ภาพกล่องม้วนฟิล์มของหนังในโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นการยืนยันว่า ‘Justice League’ เวอร์ชัน 4 ชั่วโมงในตำนานนั้นมีอยู่จริง

Zack Snyder Justice League

จนกระทั่งในปี 2021 ในช่วงเวลาที่กำลังเกิดโรคระบาดจนทำให้การผลิตคอนเทนต์ของ HBO MAX ต้องหยุดชะงัก จึงเป็นเหมือนกึ่ง ๆ โชคดีที่ Warner Bros. ได้ยินยอมให้สไนเดอร์กลับไปซ่อม ‘Justice League’ ใหม่ เพราะเป็นงานที่มีวัตถุดิบอยู่แล้วบางส่วน จึงทำให้ง่ายต่อการทำงานในช่วงโรคระบาด

แต่ถึงกระนั้น Warner Bros. ก็ยังต้องออกทุนถ่ายซ่อมกว่า 70 ล้านเหรียญ รวมทั้งตัดต่อ ทำเอฟเฟกต์ เพลงประกอบใหม่ ปรับวิธีการนำเสนอใหม่ ตั้งแต่การตัดให้ได้ความยาว 4 ชั่วโมง การคงสัดส่วนภาพแบบ IMAX ตามวิสัยทัศน์ของสไนเดอร์ พร้อมกับการประกาศว่าจะไม่ขอรับค่าตัวแม้แต่เหรียญเดียว เนื่องจากเคยได้รับไปแล้วตอนกำกับหนังคราวแรก จนในที่สุดก็กลายเป็น ‘Zack Snyder’s Justice League’ เวอร์ชัน 4 ชั่วโมง ออกฉายทาง HBO MAX ที่ได้รับความชื่นชมอย่างสวยงาม

แม้สไนเดอร์เองจะเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเองมีพล็อตเรื่องภาคต่ออีก 2 ภาคเตรียมไว้แล้ว แต่ผลจากการเปลี่ยนแปลงจักรวาลที่เกิดขึ้น ทำให้จนถึงตอนนี้ การกลับมาของภาคต่อ ‘Justice League’ ตามวิสัยทัศน์ของสไนเดอร์ จึงยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริง


นักแสดงเจ้าปัญหา เอซรา มิลเลอร์ – แอมเบอร์ เฮิร์ด

The Flash

อีกวิบากกรรมใหญ่ยักษ์ที่แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงธุรกิจมากนัก แต่ก็ถือว่ากระเทือนต่อภาพลักษณ์ของ DC และ Warner Bros. พอสมควร นั่นก็คือ ปัญหาความเสื่อมเสียชื่อเสียงของบรรดานักแสดงในสังกัด เริ่มตั้งแต่ นักแสดงสุดล้ำโลก เอซรา มิลเลอร์ (Ezra Miller) เจ้าของบท แบร์รี อัลเลน หรือ The Flash ที่ก่อวีรเวรวีรกรรมเอาไว้นับไม่ถ้วน ทั้งพฤติกรรมหงุดหงิด ก้าวร้าว กระวนกระวายในกองถ่าย การเผยแพร่คลิปวิดีโอที่มีภาพคล้ายกับว่าเขากำลังจะบีบคอหญิงสาวคนหนึ่งที่ประเทศไอซ์แลนด์ในปี 2020

พอเข้าปี 2022 มิลเลอร์ก็ยังเข้าไปก่อเหตุในร้านคาราโอเกะบนเกาะฮาวาย ทั้งการตะโกนคำหยาบคาย ทำร้ายผู้คนในร้าน พอได้รับการประกันตัว ก็ไปก่อเหตุข่มขู่ชาวฮาวายที่ช่วยประกันเขาออกมาจากสถานีตำรวจอีก และก่อเหตุในงานปาร์ตี้ด้วยการทุ่มเก้าอี้ใส่หญิงสาวจนหัวแตก ทำลายข้าวของ จนโดนจับและได้รับการประกันตัวไปอีกรอบ

ต่อมา ศาสเยาวชนของรัฐรัฐนอร์ธดาโกตา สหรัฐอเมริกา ได้สั่งคุ้มครองไม่ให้เขาเข้าใกล้เด็กสาววัย 16 ปี อดีตแฟนคลับที่สนิทสนมกับมิลเลอร์ในกองถ่าย ‘Fantastic Beast’ เนื่องจากพบว่าเขาล่อลวง คุกคาม ข่มขู่ เด็กสาวด้วยการใช้อาวุธ และบังคับเธอให้ดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด ในระหว่างที่เธออายุเพียงแค่ 12 ปี นอกจากนี้ เพื่อนสาวของมิลเลอร์ที่ชื่อนาเดีย (Nadia) ก็ได้ออกมาแฉว่า ในปี 2020 มิลเลอร์ได้เดินทางไปหาเธอถึงที่พักในเยอรมนี ก่อนจะสูบบุหรี่ในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างความไม่พอใจให้มิลเลอร์จนถึงขั้นตะโกนด่าเธออย่างรุนแรงว่าเป็นนาซี และด่าว่าเป็นกะเทย

นอกจากนี้ก็ยังก่อเหตุด้วยการให้หญิงสาววัย 25 ปี และลูก ๆ 3 คน อาศัยอยู่ในบ้านพักฟาร์มส่วนตัวของเขา ในสภาพความเป็นอยู่ที่อันตราย มีทั้งกัญชา และอาวุธเถื่อนวางอยู่ในห้องนั่งเล่น จนทำให้เธอขาดการติดต่อกับพ่อของเด็ก และเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ตำรวจของเมืองสแตมฟอร์ด รัฐเวอร์มอนต์ ได้รายงานว่า มิลเลอร์ได้ก่อเหตุลักสุราออกจากบ้านหลายขวดในระหว่างที่เจ้าของบ้านไม่อยู่อีกด้วย

ทำให้ในภายหลัง Warner Bros. ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้ปลดมิลเลอร์ออกจากแผนการสร้างภาพยนตร์ของ DC เรียบร้อยแล้ว เพื่อรับมือกับความเสียหายด้านภาพลักษณ์ ท่ามกลางข้อสงสัยว่า จะมีการตัดเขาออกจากบทบาทในหนัง ‘The Flash’ ที่ลงทุนไปแล้วกว่า 200 ล้านเหรียญ และได้รับคำชมในรอบทดลองฉายเป็นอย่างมาก ก่อนที่ตัวแทนของมิลเบอร์ได้เผยว่า เขาได้เข้าพูดคุยและขอโทษกับทาง Warner Bros. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ตัวอย่างหนังก็ยังมีภาพของเขาปรากฏอยู่โดยที่ไม่ได้ตัดออกไปแต่อย่างใด พร้อมกับปรากฏตัวในระหว่างงานฉายรอบพรีเมียร์ ซึ่งถือเป็นการเดินพรมแดงครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มีข่าวฉาว

ซึ่งหลังจากที่หนังฉาย เสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มิลเลอร์สามารถรับบท แบร์รี อัลเลน ได้อย่างน่าสนใจและแสดงในหลายบทบาทได้อย่างแนบเนียน ตรงกันกับที่ แอนดี มุสชิเอตติ (Andy Muschietti) ได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยว่า หากมีการสร้างภาคต่อของ ‘The Flash’ และเขายังคงได้กำกับ เขาจะไม่แคสติงหานักแสดงใหม่มารับบท เดอะ แฟลช แทนมิลเลอร์แน่นอน เพราะเขามองว่า บทบาทนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อมิลเลอร์โดยเฉพาะ คงต้องรอดูกันต่อไปว่า หาก ‘The Flash’ ได้กลับมาในจักรวาล DCU มิลเลอร์จะได้กลับมารับบทนี้อีกครั้งหรือไม่

Aquaman

นักแสดงอีกคนที่ถูกตั้งข้อสงสัยด้านพฤติกรรม จนทำให้มีแฟนหนังออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวนักแสดง นั่นก็คือ แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) นักแสดงเจ้าของบท เมรา จากหนัง ‘Aquaman’ อันเป็นผลพวงจากการฟ้องร้องในคดีความอื้อฉาวกับอดีตสามี จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ในข้อหาก่อความรุนแรงในครอบครัว แม้ในช่วงแรกของการฟ้องร้อง เฮิร์ดดูจะมีภาษีด้านกระแสที่ดีกว่า ทั้งจากการชนะคดีในคราวแรก จนทำให้เดปป์โดนปลดจากแฟรนไชส์หนังดัง 2 เรื่อง ทั้งบท แจ็ก สแปร์โรว์ ใน ‘Pirates of the Caribbean’ และบท เกลเลิร์ด กรินเดอวัลใน ‘Fantastic Beasts’

แต่ในการฟ้องกลับของเดปป์ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2022 การไต่สวนคดีความก็เริ่มชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของเฮิร์ดที่พยายามจะเล่นบทเหยื่อความรุนแรง สะท้อนจากการให้การกล่าวหาและแสดงหลักฐานที่ขาดน้ำหนักในระหว่างไต่สวนในชั้นศาล จนนำไปสู่การต่อต้านและเรียกร้องให้คนดูถอดเธอออกจากหนังภาคต่อ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ ที่มีเฮิร์ดร่วมแสดงอยู่ด้วยกว่า 20 นาที

จนมีกระแสข่าวออกมาว่า วอลเตอร์ ฮามาดะ (Walter Hamada) อดีตประธานของ DC Films ที่ได้ให้การในชั้นศาลในคดีนี้ด้วย ได้เผยว่า ทาง Warner Bros. ได้ลดบทบาทของเฮิร์ดลง เนื่องจากเคมีนักแสดงที่ไม่เข้ากัน ระหว่างเมรา กับอะควาแมน ที่รับบทโดย เจสัน โมโมอา (Jason Momoa)

แต่หลังจากที่เทรลเลอร์ตัวแรกถูกปล่อยออกมาในงาน CinemaCon 2023 ก็พบว่ายังมีเฮิร์ด ในบทเมราปรากฏอยู่ในเทรลเลอร์ โดยไม่ได้ถูกตัดออกหรือลดบทบาทไปอย่างที่ควร กลายเป็นที่ถกเถียงถึงความเหมาะสมที่ DC เลือกที่จะให้โอกาสเฮิร์ดกลับมาแสดงอีกครั้ง ในขณะที่แฟนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วย หากเทียบกับเดปป์ ที่เคยเสียโอกาสจากการโดนถอดจาก 2 แฟรนไชส์หนังดังมาแล้ว

และล่าสุดก็มีข่าวว่า มีผู้พบเห็นเฮิร์ดได้พาลูกสาวย้ายไปอยู่ที่ประเทศสเปน ท่ามกลางข่าวว่า เฮิร์ดได้ขายบ้านในสหรัฐอเมริกา และลี้ภัยมาซื้อบ้านอยู่ที่ประเทศสเปน เหมือนเป็นการออกจากฮอลลีวูดแบบกลาย ๆ ซึ่งก็คงต้องรอดูต่อไปในอนาคตว่า เฮิร์ดจะยังอยากกลับมารับบทเมร่าอีกไหม และ Warner Bros. จะยังให้โอกาสเธอกลับมาใน และ DCU อีกหรือไม่


เจมส์ กันน์ ความหวังใหม่ หรือไพ่ใบสุดท้ายของจักรวาล DCU

James Gunn

ปี 2022 นับเป็นอีกปีสำคัญของ Warner Bros. เพราะนอกจากบริษัทจะดำเนินการมาครบ 100 ปีแล้ว ก็ยังเป็นปีที่เกิดการควบรวมกิจการอีกครั้งเข้ากับบริษัทสื่อชั้นนำ Discovery ภายใต้ชื่อใหม่ Warner Bros. Discovery ด้วยมูลค่า 43,000 ล้านเหรียญ

การควบรวมครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลแค่การควบรวมบริการสตรีมมิงเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังส่งผลใหญ่หลวงจากนโยบายการปรับรื้อโครงสร้างองค์กรและนโยบายครั้งใหญ่ของซีอีโอคนใหม่จากฝั่ง Discovery นาม เดวิด ซาสลาฟ (David Zaslav) ซึ่งซาสลาฟได้เข้ามาดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหม่ เพื่อหวังอุดทุกช่องว่างที่จะทำให้บริษัทขาดทุน ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงแผนกในเครืออย่าง Warner Bros. Pictures และ DC ที่หมายรวมถึงจักรวาล DCEU ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ จากบรรดาหนังที่ขาดทุนหลายต่อหลายเรื่อง

ตั้งแต่การนโยบายการฉายหนังโรงควบสตรีมมิง HBO MAX เพื่อค่อย ๆ ซื้อใจผู้กำกับที่ไม่เห็นด้วยต่อนโยบายนี้ให้กลับมาทำงานกับ Warner Bros. Pictures อีกครั้ง (อย่าง Nolan) รวมทั้งการยกเลิกนโยบายการทุ่มงบสร้างคอนเทนต์เพื่อลงในสตรีมมิงอย่างเดียว แต่หันกลับไปมุ่งเน้นการทำหนังฉายโรงให้ดีขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งการจัดจักรวาล DC ที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นจักรวาลที่มีความเป็นเอกภาพในแบบที่ MCU เคยทำได้ ไม่ใช่จักรวาลหนังแบบตัวใครตัวมันเหมือนที่เกิดขึ้นใน DCEU

ผลกระทบแรกก็คือ การเปลี่ยนชื่อแผนก DC Films ไปเป็น DC Studios ที่เกิดขึ้นหลังจากฮามาดะ ได้ถอนตัวออกไป และได้ 2 ผู้บริหารใหม่ ทั้ง ปีเตอร์ ซาฟราน (Peter Safran) โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ที่เข้ามาดูแลในฝั่งธุรกิจการเงิน และ เจมส์ กันน์ (James Gunn) ผู้กำกับมือทอง ที่เคยชิมลางร่วมงานกับ DC ด้วยการเข้ามากำกับหนัง ‘The Suicide Squad’ และซีรีส์ ‘Peacemaker’ ที่เข้ามารับหน้าที่ควบคุมดูแลคอนเทนต์ทั้งหมดภายใต้ DC Studios

The Suicide Squad

โดยในระยะแรก เป็นการยุบโปรเจกต์บางส่วนที่สุ่มเสี่ยงไม่ทำเงิน ทั้งหนัง ‘Batgirl’ ที่ทำเสร็จพร้อมฉายใน HBO MAX แล้ว รวมทั้งโปรเจกต์ที่ตกทอดมาจาก Snyderverse ทั้งโปรเจกต์ ‘Wonder Woman 3’ โปรเจกต์ ‘Man of Steel’ ภาค 2 ที่หวังจะให้ เฮนรี คาวิลล์ กลับมารับบทบุรุษเหล็กอีกครั้ง รวมทั้งการปิดประตูภาคต่อหนังเดี่ยวซูเปอร์ฮีโรที่ไม่ทำเงินอย่าง ‘Black Adam’ (2022) ด้วย ในขณะที่หนังของ DC เรื่องอื่น ๆ ที่อยู่นอก DCU อาทิ จักรวาล ‘The Batman’ ที่รับบทโดย โรเบิร์ต แพตทินสัน (Robert Pattinson) และ ‘Joker’ ที่รับบทโดย วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) ที่ทำรายได้และคำชื่นชมอย่างงดงาม จะถูกแยกออกมาอยู่ในจักรวาลใหม่ที่ถูกเรียกว่า ‘DC Elseworld’

จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2023 กันน์ได้เปิดเผยแผนชุดแรกของจักรวาล DCU ที่ถูกเรียกว่า ‘Chapter 1’ ที่มีชื่อเรียกว่า ‘Gods and Monsters’ ที่ประกอบไปด้วย 10 ไตเติลหนังและซีรีส์ใหม่เอี่ยมที่เรียกว่าแทบจะเป็นการรีบูตเริ่มเรื่องราวใหม่ในจักรวาลแทบจะทั้งหมด ซึ่งการรีเซ็ตจักรวาลในครั้งนี้อาจทำให้เรื่องราว แนวทาง และวิสัยทัศน์แบบ Snyderverse อาจจะหายไปอย่างถาวร รวมทั้งนักแสดงบางคน

ที่ได้รับความนิยมที่อาจไม่ได้กลับมาสู่จักรวาลใหม่อีก รวมทั้งนักแสดงบางคนจาก Snyderverse บางคนที่ไม่ได้กลับ (และไม่น่าจะยอมกลับมา) ในจักรวาล DCU อีก ทั้ง เฮนรี คาวิลล์ ที่ไม่ได้กลับมาเป็นซูเปอร์แมนอีก เนื่องจากคาแรกเตอร์บุรุษเหล็กของคาวิลล์ที่ไม่ตรงกับคาแรกเตอร์และวิสัยทัศน์ที่กันน์ได้วางแผนไว้ รวมทั้งกาด็อต ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ณ ตอนนี้ ยังไม่มีความสนใจจะกลับไปรับบทวันเดอร์วูแมนในอนาคต

ส่วนแอฟเฟล็ก ที่เพิ่งกลับมาปรากฏตัวในรับบท Batfleck ในหนัง ‘The Flash’ รวมทั้ง เจสัน โมโมอา เจ้าของบท อาเธอร์ เคอร์รี หรือ Aquaman และ โชโล มาริดูเอญญา (Xolo Maridueña) ในบท เจมส์ เรเยส หรือ Blue Beetle ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้กลับมารับบทในจักรวาล DCU ในอนาคตอีกหรือไม่

หลังจาก ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ ที่จะเข้าฉายในช่วงสิ้นปี 2023 จักรวาล DCEU จะถึงจุดสิ้นสุด ก่อนเปลี่ยนผ่านไปสู่จักรวาลใหม่ในชื่อ DCU คงต้องรอดูกันว่า วิสัยทัศน์ของ เจมส์ กันน์ ในฐานะผู้บริหาร จะสามารถรวบรวมจักรวาลให้เป็นปึกแผ่น และกอบกู้ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ที่พังพาบไม่เป็นท่าของ DCEU ก่อนหน้านี้ กลับมาผงาดเทียบชั้น แย่งตลาดหนังซูเปอร์ฮีโรของ Marvel ในยุคที่หนังฮีโรกำลังเริ่มซบเซาและอิ่มตัวในเวลานี้ได้อีกหรือไม่


พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส