เราอาจเพิ่งผ่านตาเรื่องราวของเศรษฐีคู่สามีภรรยาชาวแคนาดาที่ลงทุนบินเครื่องบินส่วนตัวไปพื้นที่ห่างไกลความเจริญ และปลอมเป็นชาวบ้านธรรมดาเพื่อแซงคิวรับโควต้าวัคซีน COVID-19 ก่อนกำหนด ซึ่งเรื่องมาแตกเพราะเจ้าหน้าที่การแพทย์เกิดสงสัยและทำการค้นข้อมูลย้อนหลังจนกลายเป็นข่าวดัง ทว่าในฮอลลีวูดที่มีเงินมากมายมหาศาลหมุนเวียนอยู่ในนั้น เรื่องราวมันฉุนคาวยิ่งกว่าเสียอีกเพราะมันคือการเอาเปรียบเชิงระบบโครงสร้างเลยทีเดียว

นิตยสาร Variety ได้ขุดคุ้ยเรื่องราวในแวดวงคนดังของฮอลลีวูด โดยพบว่าหลังจากที่มีการค้นพบวัคซีนและทางการเมืองลอสแอนเจลิสได้เริ่มกำหนดโควต้าแจกจ่ายกลุ่มบุคลากรการแพทย์ และกลุ่มผู้สูงอายุเกิน 75 ปีขึ้นไป ก่อนจะขยายมาเป็นกลุ่ม 65 ปีขึ้นไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ก็ได้มีความพยายามใช้อิทธิพลส่วนตัวทั้งเงินและสายสัมพันธ์พิเศษผ่านทางแพทย์ส่วนตัวหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ จากผู้มีอิทธิพลในแวดวงฮอลลีวูดหลายกรณีเพื่อจะได้รับวัคซีน 1 ใน 2 ตัวที่ได้รับอนุมัติในสหรัฐก่อนใคร

และขอย้ำก่อนว่ารายงานฉบับนี้ มีทั้งส่วนบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่เผยตัว และคำกล่าวอ้างจากแหล่งข่าวที่ไม่เผยตัว ก็อาจต้องฟังหูไว้หูด้วย

เครือข่ายพิเศษผ่านที่ปรึกษาสุขภาพส่วนตัว

หนึ่งในตัวอย่างคือ เออร์วิง เอซอฟ ตำนานวงการเพลงอเมริกาวัย 73 ปี ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าพ่อในวงการจัดแสดงโชว์ในแอลเอ แม้เขาจะได้รับสิทธิ์ในการรับวัคซีนจากการขยายกลุ่มโควต้าให้กับคนอายุ 65 ปีขึ้นไปเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้มีแหล่งข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้เขาได้พยายามหาช่องทางอำนวยความสะดวกให้กับคนที่อยู่ในการดูแลของเขาได้รับวัคซีนด้วย

“ทุกคนมีสิทธิ์ที่ควรได้รับการฉีดวัคซีนทันที ที่พวกเขาสามารถทำได้” เอซอฟได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Variety

ทั้งนี้ต้องบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดทางกฎหมายสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด ถ้าคุณมีพลังพอจะหาวัคซีนให้ตัวเองได้ แต่สิ่งที่กระทบมาก ๆ ก็คือมาตรฐานทางคุณธรรมและการเห็นแก่ส่วนรวม โดยเฉพาะภาพช่องว่างระหว่างคนธรรมดากับอภิสิทธิ์ชนที่สังคมจะได้เห็นความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง

เพราะอย่างที่ทราบว่าในขณะนี้การผลิตวัคซีนยังเป็นไปอย่างจำกัด และการบริหารจัดการของรัฐบาลทั่วโลกก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือให้วัคซีนล็อตแรกสุดกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องรับมือเป็นด่านหน้าในการรบกับ โควิด-19 ก่อน จากนั้นจึงเป็นกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงสูงคือผู้สูงอายุ และไล่ไปยังกลุ่มอื่น ๆ ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบดีว่าอภิสิทธิ์ชนย่อมมีช่องทางพิเศษของพวกเขา

แหล่งข่าวหลายแห่งตามการอ้างของ Variety กล่าวว่า เอซอฟ เป็นหนึ่งในคนดังที่ได้รับการแนะนำให้กับ ดร.โรเบิร์ต เบรย์ ศัลยแพทย์กระดูกสันหลังและระบบประสาท ซึ่งประจำอยู่ที่นิวพอร์ตบีช และกลายเป็นตัวละครสำคัญในกลุ่มอิทธิพลของ โรเบิร์ต โกลด์สตีน เจ้าพ่อเครือโรงแรม Las Vegas Sands Corporation ที่มีธุรกิจในแอลเอ และในมาเก๊าด้วย

แม้ตัวแทนของโกลด์สตีนจะปิดปากเงียบเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่ตัว ดร.เบรย์ ซึ่งถูกอ้างถึง ได้ออกมากึ่งปฏิเสธข้อมูลดังกว่าวว่า เขาเองไม่ได้รับเป็นที่ปรึกษาสุขภาพส่วนตัวให้ใคร และได้รับการจัดสรรวัคซีนสำหรับ 200 คนจากรัฐ ซึ่งเขาก็ได้ดำเนินการตามมาตรฐานการให้วัคซีนที่จะให้กลุ่มบุคลากรการแพทย์และผู้สูงอายุก่อน แล้วจึงจะฉีดวีคซีนจำนวน พิเศษ ให้กลุ่มอื่นตาม ดุลยพินิจ ของเขา เมื่อถูกถามถึงความเกี่ยวข้องกับกลุ่มของโกลด์สตีน ดร.เบรย์ได้อ้างการเก็บความลับของคนไข้และปฏิเสธให้ข้อมูลว่าเป็นคนที่อยู่ในการดูแลของเขาหรือไม่ ..ช่างดูมีเงื่อนงำ

1 ชั่วโมงของเราไม่เท่ากันสำหรับคิวรับวัคซีน

ในขณะที่การขยายกลุ่มที่ได้รับวัคซีนเป็นอายุ 65 ปีขึ้นไป ได้เริ่มขึ้นเมื่อกลางเดือนมกราคมในลอสแอนเจลิส ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ต่างต้องต่อแถวยาวเพื่อไปรับวัคซีนที่สนามแข่งเบสบอลของทีมดอดจ์เจอร์ส โดยต้องรอเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่พยานคนหนึ่งให้ข่าวว่าเขาเห็นนักเจรจาตัวพ่อของฮอลลีวูดคนหนึ่งใช้การพูดคุยพิเศษเพื่อประหยัดเวลาต่อคิว เพียงเพราะกลัวว่าแบตเตอรีของรถเทสลาโมเดลเอ็กซ์ส่วนตัวจะหมดก่อน

ผู้ให้บริการด้านดูแลสุขภาพรายหนึ่งให้ความเห็นว่า “ในวัฒนธรรมของซูเปอร์วีไอพี พวกเขาไม่สนใจจะรอ มันเป็นเรื่องที่น่าสิ้นหวังมาก ๆ”

ดร.โรเบิร์ต ไฮซิงกา แพทย์ผู้เคยเป็นที่ปรึกษาการลดน้ำหนักในรายการแข่งขันทางโทรทัศน์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้รับการติดต่อเป็นการส่วนตัวจากหลายคนที่พลาดหวังกับวัคซีนล็อตแรก โดยเสนอเงินถึง 10,000 ดอลลาร์ (ราว ๆ 300,000 บาท) ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีคนบันเทิงรวมอยู่ด้วย

“เราได้เห็นการติดสินบน เราได้เห็นคนใช้เครื่องบินส่วนตัวตระเวนหาที่มีวัคซีนเหลือ หรือกระทั่งความพยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจดูแลสุขภาพ หรือบ้านพักคนชรา เพียงเพื่อให้ได้สิทธิ์เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องได้รับวัคซีนก่อนคนอื่น เราก็เห็นมาแล้ว”

แต่ทั้งนี้ ดร.ไฮซิงกา ก็ไม่ได้กล่าวตำหนิเพียงอย่างเดียวแต่ก็เข้าใจกลุ่มคนบันเทิงเหล่านั้นด้วยว่า “พวกเขามีสิทธิ์สู้เพื่อเอาชีวิตรอด แม้จะเป็นการใช้อิทธิพลเพื่อทำลายกรอบบางอย่างก็ตาม ต้องยอมรับว่ารัฐบาลได้สร้างระบบที่น่าหวาดกลัวนี้ขึ้นมา”

ช่องโหว่ในนามผู้บริจาคของสถานพยาบาล

น่าสนใจว่าการเป็นผู้บริจาคหรือสมาชิกพิเศษของสถานบริการสุขภาพบางแห่ง ได้รับการตีความจากหน่วยงานนั้นว่าเป็นบุคลากรของสถานบริการ และจะได้รับสิทธิ์ฉีดวัคซีนก่อนเช่นเดียวกับบุคลากรทางการแพทย์ด้วย

มีรายงานว่าดาราคนดังในฮอลลีวูด ตลอดจนผู้บริหารและกลุ่มตัวแทนดาราหลายร้อยคนกำลังกลายเป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อรับสิทธิ์นี้ โดยพวกเขาลงทะเบียนในโครงการดูแลสุขภาพระดับผู้บริหาร (ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพ) ของ UCLA หรือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส และพวกเขาเหล่านั้นต่างเฝ้ารออย่างร้อนรนว่าเมื่อใด ดร.โรเบิร์ต แอนเซล ผู้ควบคุมโครงการจะแจ้งวันที่พวกเขาจะได้รับวัคซีน

โดยสมาชิกของโครงการดังกล่าวที่ไม่ขอเผยตัวหลายคนได้ให้ข้อมูลว่า โครงการนี้เป็นเพียงกิจกรรมบนกระดาษ มันไม่เคยมีการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ และสมาชิกแต่ละคนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรวมถึงมีการบริจาคเงินตั้งแต่ 15,000 ถึง 25,000 ดอลลาร์ (450,000-750,000 บาท) ต่อปี เลยทีเดียว ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับการดูแลสุขภาพในระดับพรีเมียมที่ไม่อาจหาได้จากที่ใด ซึ่งคงรวมถึงการได้รับวัคซีนด้วย

ทั้งนี้สมาชิกของโครงการได้เผยว่า กรรมการของโครงการนี้มีคนดังในอุตสาหกรรมบันเทิงนั่งอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เจย์ ชัวเรส ประธานร่วมของบริษัทด้านการดูแลนักแสดง United Talent Agency, ปีเตอร์ กูเบอร์ ซีอีโอของบริษัทผลิตหนังและรายการทีวีอย่าง Mandalay Entertainment, เชอร์รี แลนซิง อดีตผู้บริหารของค่ายหนังใหญ่อย่าง Paramount Pictures

ทว่าหลังจาก Variety ได้สอบถามไปยังหน่วยงานและบุคคลที่มีชื่ออ้างถึงดังกล่าว ทางตัวแทนของ UCLA ได้ออกมาปฏิเสธและระบุว่าการเลือกผู้ได้รับวัคซีนเป็นไปตามระเบียบของทางการเท่านั้น และผู้บริจาคเงินไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษใด ๆ ในขณะที่ตัวแทนของ United Talent Agency และ Mandalay Entertainment ไม่ขอตอบในประเด้นดังกล่าว มีเพียง เชอร์รี แลนซิง ที่อ้างว่ามีหลายคนในวงการโทรมาปรึกษาเธอเรื่องการลงทะเบียนรับวัคซีนตามขั้นตอนปกติ และไม่มีใครร้องขอให้เธอใช้อิทธิพลในโครงการดังกล่าวเพื่อลัดขั้นตอนแต่อย่างใด

ดาราดังขอต่อคิวแบบไร้อภิสิทธิ์

แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าตัวแทนของคนดังในฮอลลีวูดตอนนี้ต่างวิ่งหาวัคซีนเพื่อบริการให้กับลูกค้าของตนเอง แต่ก็มีดาราดังหลายคนที่เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ขอลงทะเบียนต่อคิวเช่นเดียวกับทุกคน ซึ่งต้องขอยกเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชม

มีรายงานว่า แฮร์ริสัน ฟอร์ด พระเอกคนดังวัย 78 ปีใช้เวลาต่อคิวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อรับวัคซีนเมื่อราวสัปดาห์ก่อน โดยตัวแทนของฟอร์ดขอไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องคนดังที่ใช้อภิสิทธิ์พิเศษ แต่ขอกล่าวขอบคุณไปยังบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังต่อสู้กับโรคระบาดในขณะนี้

เช่นเดียวกับคนดังอีกหลายคนที่ต่างเข้าคิวตามขั้นตอนปกติ ไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้ว่าการรัฐและนักบู๊คนดังวัย 73 ปี อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์, โปรดิวเซอร์และผู้กำกับชื่อดังวัย 74 ปี แฟรงก์ มาร์แชล เองก็โพสต์ภาพใบลงทะเบียนรับวัคซีนลงในโซเชียลมีเดียส่วนตัว ยังรวมถึงนักแสดงและดาวตลกคนดังวัย 75 ปี อย่าง สตีฟ มาร์ติน เองก็ลงภาพต่อคิวรับวัคซีนด้วยเช่นกัน

มันคือ Hunger Game

ผู้บริหารบริษัทในวงการบันเทิงที่ไม่ขอเผยชื่อได้ระบุว่า ตอนนี้มันไม่ต่างจากหนังเรื่อง Hunger Game ที่คนต่างใช้กำลังสติปัญญาเพื่อเอาชนะคนอื่นให้ตัวเองอยู่รอดเลย

ตัวอย่างที่ดังขึ้นมาในช่วงอาทิตย์ก่อนคือ อัลเลน ชาปิโร วัย 73 ปี อดีตซีอีโอของ Dick Clark Productions บริษัทผู้ถ่ายทอดรางวัลลูกโลกทองคำ มีรายงานว่าเขาบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปฟลอริดาพร้อมกับเพื่อน เพื่อรับวัคซีน ในขณะที่แหล่งข่าวของ Variety รายงานว่าเขาเดินทางไปไมอามีเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตามประเด็นของชาปิโรถูกขนานนามว่าเป็นตัวอย่างของ การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อรับวัคซีน (Vaccine Tourism) เลยทีเดียว

ทั้งนี้คนวงในใกล้ชิดได้เผยว่า ชาปิโรได้มีกิจการหลายอย่างในฟลอริดา เขาจึงเดินทางไปเพื่อรับสิทธิ์วัคซีนที่ฟลอริดา ซึ่งเขาอาจไม่ใช่กรณีแรกที่คนจะแห่เข้าฟลอริดาเพื่อฉีดวัคซีน เพราะก่อนนี้ รอน เดอซานทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาได้ประกาศว่ายินดีให้ทุกคนที่อายุเกิน 65 ปี เข้ารับวัคซีนได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีถิ่นพำนักในฟลอริดา แม้แต่ ริชาร์ด พาร์สันส์ อดีตซีอีโอของ Time Warner วัย 72 ปี ยังประกาศว่าเขาพร้อมจะบินจากนิวยอร์กไปฟลอริดาซึ่งมีการจัดการเรื่องวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย นอกจากนี้หลายคนเริ่มพูดถึงการเดินทางไปรับวัคซีนและท่องเที่ยวที่เกาะฮาวายกันแล้วด้วย

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่ควรยอมรับเลยในสามัญสำนึกทั่วไป แม้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะมีจำนวนโควต้าวัคซีนตามรายงานเมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา เพียง 2,716 โดส ต่อประชากร 100,000 คนก็ตาม

ดร.อาร์ต แคปแลน ซึ่งบริหารโรงพยาบาลในนิวยอร์กได้ให้ความเห็นตอกย้ำว่า “เรายังมีผู้สูงอายุวัย 91 ปี และบุคลากรทางการแพทย์ที่ยังรอรับวัคซีนอยู่ ในขณะที่พวกคนดังคนรวยเหล่านั้นมีความสามารถที่จะป้องกันตัวเอง ด้วยการอยู่บ้านและสวมเครื่องป้องกันได้เป็นเดือนหรือรายเดือนโดยขนหน้าแข้งไม่ร่วงเลย อดทนอีกไม่กี่เดือนวัคซีนก็จะเพียงพอสำหรับทุกคนแล้ว”

“คนในวงการบันเทิงควรใช้ความสามารถของพวกเขาเพื่อสนับสนุนระบบการดูแลสุขภาพ ไม่ใช่ทำลายมัน” ผู้บริหารบริษัทด้านสื่อที่เคยทำธุรกิจดูแลสุขภาพรายหนึ่งได้ให้ความเห็น

สำหรับบ้านเราก็อาจเกิดเหตุการณ์คล้ายกันนี้เมื่อมีวัคซีนเข้ามา ก็ขอให้ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ และหวังว่าอย่าได้มีอภิสิทธิ์ชนคนใดทำตามเลยนะ

ที่มา

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส