31 ธันวาคม 2019 หน่วยงานความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NHTSA (U.S. National Highway Traffic Safety Administration) ออกมาเปิดเผยว่ากำลังสอบสวนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2019 กรณีรถยนต์ Tesla Model S ออกจากทางหลวง 91 ฝ่าไฟแดงพุ่งชนกับรถยนต์ Honda Civic ที่ Gardena ในเขตลอสแอนเจลิส ซึ่งทำให้ชายและหญิง 2 คนใน Honda Civic เสียชีวิตและ 2 คนในรถยนต์ Tesla ถูกนำส่งโรงพยาบาลแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิต ขณะนี้ NHTSA ไม่ได้ระบุว่ามีการตั้งข้อสงสัยเกิดจากความผิดพลาดของระบบ Autopilot หรือไม่

ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา NHTSA ได้มีการสอบสวนเรื่องความผิดพลาดของรถยนต์ Tesla ก่อเหตุขับชนครั้งที่ 12 ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับ Autopilot ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงเป็นเหตุให้ Tesla Model 3 ขับชนท้ายรถยนต์สายตรวจทางหลวงของตำรวจ Connecticut ในเมือง Norwalk สหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และตั้งแต่ปี 2016 มีการขับชนร้ายแรงของรถยนต์ Tesla ในสหรัฐอย่างน้อย 3 คันที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของระบบ Autopilot

คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (National Transportation Safety Board : NTSB) ในสหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์ว่า  Autopilot ของ Tesla ขาดระบบป้องกัน และเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้กล่าวในการสอบสวนเหตุรถยนต์ Tesla ขับชนในเมือง Culver แคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2018 ว่าการออกแบบของระบบอนุญาตให้ผู้ขับขี่ออกจากการขับรถ สรุปง่าย ๆ ว่า ระบบทำให้คนขับคิดว่าออกจากการบังคับพวงมาลัยได้ เพราะมีผู้ใช้บางคนบอกว่าสามารถเอามือออกจากพวงมาลัยได้เป็นเวลานาน

Tesla เปิดเผยว่า Autopilot จะช่วยให้รถสามารถเลี้ยว เร่งความเร็วและเบรกอัตโนมัติโดยที่รถจะอยู่ภายในเลน แต่ไม่ได้ทำให้รถสามารถขับขี่ด้วยตนเอง นอกจากนี้ Tesla และ NHTSA ยังแนะนำผู้ขับขี่จะต้องจับพวงมาลัยและให้ความสนใจอยู่ตลอดเวลาแม้จะใช้ระบบ Autopilot ก็ตาม

เดือนที่ผ่านมา Ed Markey ส.ว. ของสหรัฐกล่าวว่า Tesla ควรปิดระบบ Autopilot จนกว่าจะติดตั้งระบบป้องกันใหม่ที่ป้องกันผู้ขับขี่หลีกเลี่ยงความจำกัดของระบบที่อาจทำให้พวกเขาหลับในได้

มีความเป็นไปได้ที่คนขับอาจคิดว่ารถยนต์ขับอยู่ในเลนเองจึงไม่ได้โฟกัสในกับการขับขี่ ซึ่งอาจทำให้ง่วงและหลับในได้ ดังนั้นควรมีระบบป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่ออกจากการควบคุมพวงมาลัยรถ

ที่มา : reuters และ theguardian

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส