สงกรานต์เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของปีของคนไทย เพราะว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นสิ่งดี ๆ รดน้ำอวยพรให้กัน ทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ และที่สำคัญคือเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงได้มารวมตัวฉลองปีใหม่ไทยกัน

โรคระบาดโควิด-19 นั้นได้สร้างวิถีปฏิบัติใหม่ให้กับผู้คน รวมถึงยังสร้างข้อจำกัดบางประการ วันนี้ Facebook จึงได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่เพื่อร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์แบบออนไลน์ไปด้วยกันผ่านกิจกรรม #SongkranTogether เพื่อให้คนไทยได้เชื่อมต่อถึงกันและส่งต่อความสุขให้กับคนที่พวกเขารักในช่วงวันหยุดนี้ แม้จะเป็นช่วงที่ทุกคนยังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์โรคระบาด ฟีเจอร์ใหม่ต่าง ๆ จาก Facebook และ Instagram นั้นรวมไปถึง AR ฟิลเตอร์ กรอบรูปโปรไฟล์ และสติกเกอร์ชุดใหม่ที่ออกแบบร่วมกับศิลปินที่มีผลงานระดับโลกอย่าง “ก้องกาน” หรือคุณกันตภณ เมธีกุล

“พันธกิจของเราคือการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน และเพื่อให้คนได้ใกล้ชิดกันไม่ว่าจะพวกเขาอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตาม และสงกรานต์ปีนี้เราได้ทำงานร่วมกับ ก้องกาน ศิลปินหนุ่มชาวไทย รังสรรค์คาแรกเตอร์ที่มีความหลากหลาย ดูอบอุ่น แทรกความสนุกภายใต้สไตล์เทเลพอร์ต (Teleport) หรือหลุมดำอันโด่งดัง” แพร ดํารงค์มงคลกุล Country Director ของ Facebook ประเทศไทย กล่าว

ธุรกิจต่างๆ ต่างกำลังปรับตัวเพื่อยังคงรักษาการเข้าถึงและการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย โดยผู้บริโภคยุคดิจิทัลของไทยได้เผยให้เห็นถึงเทรนด์การชอปปิงแห่งอนาคตผ่านผลการศึกษาชิ้นใหม่ของ Facebook

เทรนด์ใหม่มาแรงที่จะขับเคลื่อนอนาคต

ในยุคที่ความคาดหวังของผู้คนที่มีต่อความสะดวกสบาย การมีส่วนร่วม ชุมชน และการเป็นผู้ประกอบการนั้นกำลังเปลี่ยนไป ผู้บริโภคที่เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ได้รวดเร็วอย่างตลาดประเทศไทยนั้น ก็ได้เผยให้เห็นถึงเทรนด์ในอนาคตทั้งในเรื่องส่วนตัว และเรื่องธุรกิจ

เพื่อทำความเข้าใจกับเทรนด์ดังกล่าว Facebook และ Ipsos ได้ทำการสำรวจผู้บริโภคจำนวน 12,500 คน ช่วงอายุ 18 ถึง 64 ปี จาก 14 ประเทศ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน พ.ศ. 2563 โดยผู้ร่วมตอบแบบสอบถาม 1,000 คนมาจากประเทศไทย

การศึกษาชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘Emerging Trends: The Forces Shaping the Future Today’ โดยเป็นการต่อยอดมาจากผลการศึกษาชิ้นก่อนหน้าของ Facebook และได้พบว่าผู้คนนั้นกำลังมองหาหนทางใหม่ ๆ ที่จะนำเวลาของพวกเขาคืนมา ค้นหาความสุขในการชอปปิงออนไลน์ การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมกับชุมชนทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น

ความสะดวก การมีส่วนร่วม และการรวมตัวออนไลน์

ความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้งาน และกำลังจะกลายเป็นข้อบังคับที่แบรนด์จะต้องมีให้ เพราะว่าร้อยละ 86 ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยเชื่อว่า ในอนาคต สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของพวกเขาจะต้องการเวลาของพวกเขามากขึ้นไปอีก ผู้คนจึงล้วนมองหาวิธีที่จะประหยัดเวลาและทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เห็นได้จากการที่ร้อยละ 89 ของชาวไทยยินดีที่จะจ่ายเพื่อสินค้าและบริการที่ช่วยประหยัดเวลา และร้อยละ 94 ก็นำเรื่องของความสะดวกสบายมาเป็นปัจจัยควบคู่ไปกับเรื่องของราคาเวลาตัดสินใจซื้อของ โดยที่พวกเขาต้องการนำเวลาไปใช้กับสิ่งที่สำคัญกับพวกเขามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลากับคนที่พวกเขารัก (ร้อยละ 60) เพื่อสุขภาพที่ดี (ร้อยละ 60) การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ (ร้อยละ 60) หรือเพื่อการท่องเที่ยว (ร้อยละ 72) และทำสิ่งดีๆ คืนให้สังคม (ร้อยละ 32)

แต่อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากความรวดเร็วและความสะดวกสบายแล้ว ผู้บริโภคหลายคนยังคงต้องการประสบการณ์อันดื่มด่ำและการมีปฏิสัมพันธ์เพื่อการเชื่อมต่อกับแบรนด์ สินค้า และผู้บริโภคคนอื่น ๆ ในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น โดยร้อยละ 86 ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยกล่าวว่าโซเชียลมีเดียนั้น ทำให้พวกเขาสามารถโต้ตอบและมีความสัมพันธ์กับแบรนด์ต่าง ๆ ในระดับที่ดีขึ้น

ผลการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่นล้วนแสดงความสนใจต่อประสบการณ์การชอปปิงที่สามารถให้พวกเขาเข้าถึงแบรนด์และมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้เกิดการและสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยร้อยละ 65 ของผู้ตอบแบบสอบถามเผยว่ามีการได้ลองชอปปิงผ่านการขายไลฟ์สดมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา และร้อยละ 28 ได้เกิดการซื้อของผ่านการไลฟ์สดในช่วงปีที่ผ่านมา และร้อยละ 84 ของคนกลุ่มนี้ก็ยังคงซื้อของผ่านช่องทางดังกล่าวทุกเดือน โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย 9 ใน 10 คน (ร้อยละ 92) คาดว่าจะเพิ่มการซื้อของผ่านการไลฟ์สดในปีนี้

เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AR หรือ Augment Reality และวิดีโอนั้น ได้กลายเป็นพื้นฐานของประสบการณ์การชอปปิงสำหรับผู้บริโภคไปแล้ว โดยร้อยละ 88 ของคนไทยกล่าวว่า AR ได้เสริมประสบการณ์รูปแบบดิจิทัลให้พวกเขา และพวกเขาก็หวังที่จะเห็นฟีเจอร์นี้เพิ่มเติมจากแบรนด์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่าคนไทย 37 ล้านคนรับชม Facebook Watch อย่างน้อยหนึ่งนาทีในแต่ละเดือน โดนรายงานจาก Kantar ระบุว่าร้อยละ 97 ของผู้ที่รับชมวิดีโอของผู้เผยแพร่นั้น มีการใช้ Facebook Watch เป็นประจำ   

เรื่องของชุมชนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเสมอมา และประเทศไทยก็เป็นผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในแง่ของการพัฒนาชุมชนออนไลน์และเชื่อมต่อกับผู้คนในกลุ่มที่มีความสนใจและความชอบคล้าย ๆ กัน โดยผู้คนกว่า 800 ล้านคนในเอเชียแปซิฟิกได้เป็นสมาชิกของกลุ่มกว่า 35 ล้านกลุ่มบน Facebook โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 91) กล่าวว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของชุมชนออนไลน์ และร้อยละ 81 ก็ยินดีเปิดรับแบรนด์ที่พร้อมที่จะมอบสิ่งดี ๆ ให้กับพวกเขา

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักช้อปหลายคนมองว่าผู้ประกอบการท้องถิ่นนั้นเปรียบเสมือน “ครีเอเตอร์” กลุ่มสำคัญที่ยังคงพยายามปรับตัวในช่วงโรคระบาดโควิด-19 นี้ แนวความคิดนี้ได้แปลงเป็นความต้องการที่จะแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้คน โดยเห็นได้จากการที่ร้อยละ 89 ของผู้บริโภคที่ร่วมตอบแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาซื้อของและสนับสนุนธุรกิจและผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยยังยินดีที่จะจ่ายเพิ่มอีกด้วย ตราบใดที่สินค้าและบริการนั้น ๆ มีคุณภาพดีเท่ากับตัวเลือกอื่น

“ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นกำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางการค้าแบบดิจิทัลอย่างแท้จริง ความคาดหวังของผู้บริโภคในวันนี้มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่ความคาดหวังต่อแบรนด์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความคาดหวังในชีวิตของพวกเขาเองด้วย ประเทศไทยนั้นก็เป็นหนึ่งในกระแสขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ดังนั้นแบรนด์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวรับกับความคาดหวังในแง่ของความสะดวกสบายจากผู้บริโภค และยังต้องมีแนวทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีให้กับผู้บริโภคยุคดิจิทัลอีกด้วย” แพร ดํารงค์มงคลกุล กล่าวปิดท้าย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส