ในวันนี้หากพูดชื่อวงดนตรีวงหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘Getsunova’ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักวงดนตรีเจ้าของบทเพลงฮิต ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ ที่มีเอกลักษณ์จากการตั้งชื่อเพลงและการเล่าเรื่องในบทเพลงที่มีความย้อนแย้งแต่กลมกลืนและเข้าถึงง่าย

หากพูดถึงแบ็กกราวด์ชีวิตของสมาชิก Getsunova ทั้ง 4 หลายคนอาจคิดว่าชีวิตที่ร่ำรวยและสวยงามด้วยกลีบกุหลาบของพวกเขานั้นคงเป็นการง่ายที่จะทำอะไรก็ได้แม้กระทั่งการทำอัลบั้มเพลงสักอัลบั้ม แต่ในความเป็นจริงแล้วเส้นทางแห่งกุหลาบที่พวกเขาดุ่มเดินกลับเต็มไปด้วยขวากหนามที่ต้องฟันฝ่าด้วยตัวเอง วันคืนพ้นผ่านเนิ่นนานกับบททดสอบที่ผู้มีใจกล้า อดทน และรักในสิ่งที่ทำอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะผ่านมันไปได้

พบกับเรื่องราวการเดินทางบนเส้นทางแห่งเสียงดนตรีของ เนม และ นต และเส้นทางการต่อสู้ของวงดนตรียอดนิยมที่มีชื่อว่า ‘Getsunova’ ที่แต้มต่อใด ๆ ก็ไม่อาจช่วยสร้างความนิยมได้ทั้งนั้นนอกจากความมุ่งมั่นของพวกเขาเอง

เราเป็นคุณหนูมั้ยตอนเด็ก ๆ

ก็ยอมรับว่าเป็น เพราะว่าตั้งแต่จำความได้ ทุกคนที่เนมเจอไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือคนที่อายุมากกว่าก็จะเรียกเนมว่า ‘คุณเนม’ เสมอ จนถึงทุกวันนี้แม้แต่เพื่อนพ่อแม่เนมหรือเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันก็ยังเรียกอยู่ว่า ‘คุณเนม’ ผมเติบโตมาในครอบครัวที่เจอบุคลากร S&P ก็จะเรียกเราว่า ‘คุณเนม’ ก็เลยยอมรับว่าค่อนข้างคุณหนูเหมือนกัน

มันเป็นข้อดีข้อเสียอะไรมั้ยครับ อย่างเวลาไปเจอเพื่อนในโรงเรียนที่บางคนอาจจะมีความเรื้อนกว่าเรา

เนม : สมัยประถมจะไม่ค่อยเป็นเด็กที่ลุยหรือขี้เล่นจนถึงโต อยู่ในโซนของตัวเอง เราจะมีความนิ่ง ไม่ค่อยพูดเยอะ พ่อแม่ก็เลี้ยงแบบทะนุถนอม มีคนรถไปส่ง แต่เราก็เห็นเพื่อนคนอื่นเค้าดูเหมือนพ่อแม่ปล่อยกว่าเนม คนอื่นเค้าจะมีความลุยกว่า มันเริ่มรู้ตอนโตเวลาเพื่อนคนอื่นอยู่กับพ่อแม่ คนดู relax กว่าเวลาเนมอยู่กับพ่อแม่ มันควรจะสนิทกว่านี้ บางอย่างก็คุยกับพ่อแม่ไม่ได้หมด

นต : บ้านผมก็เป็นนักธุรกิจ แต่ก็ไม่ถึงขนาดคุณหนู พี่เนมจะเจอเรียกว่าคุณเนม แต่ของผมจะเจอเรียกว่า ‘คุณน้อง’ ทุกวันนี้แม่บ้านที่อายุเด็กกว่าผมก็ยังเรียกผมว่าคุณน้อง พนักงานที่ออฟฟิศก็เรียกว่าคุณน้อง เหมือนเป็นคำที่เค้าเรียกตาม ๆ กันมา คุณพ่อนตก็เป็นอาจารย์สอนศิลปะที่จุฬา ฯ เค้าก็จะมีความปล่อยเลย สบาย ๆ ลูกอยากกระโดดเล่นคลองหลังบ้านก็ไปเลย แต่ถ้าแม่มาก็นะ …โอเค ๆ

การมีส่วนผสมของความเป็นนักธุรกิจและศิลปินภายในบ้านมันมีส่วนช่วยเราอย่างไรบ้างรึเปล่า

นต : ก็ใช่นะครับ เหมือนเข้าใจทั้งสองโลก เข้าใจทั้งสองมุม คุณแม่และญาติ ๆ ก็เรื่องระเบียบไม่แพ้ทางพี่เนม แต่จะมีคุณพ่อที่ปล่อยเรา เราก็เลยได้บาลานซ์ทั้งสองฝ่าย พอเจอคนบุคคลแบบไหนก็จะรู้ว่าเราควรวางตัวยังไง

เนม : เนมจะมาเรียนรู้การอยู่ในโลกแบบลุย ๆ ตอนเนมโตแล้ว เพราะจะได้เจอคนเยอะ อย่างตอนมาทำงานตรงนี้

เนมไปเรียนต่างประเทศเร็วมากใช่มั้ยครับ

เนม​ : ใช่ครับ ไปตั้งแต่จบ ป. 4 ยังไม่สิบขวบเลยครับ พ่อแม่ส่งไปอังกฤษ เป็นผู้ดีอังกฤษ เป็นโรงเรียนประจำ อยู่ใกล้ ๆ  ปราสาทวินด์เซอร์เลย แต่งเครื่องแบบ ผูกเนกไททุกวัน พอเข้าแฮโรลด์สคูลมีแยกบ้านเหมือนแฮรี่ พอตเตอร์ (แฮรี่ พอตเตอร์ก็ถ่ายทำที่นี่) ระเบียบมากต้องใส่หมวกฟาง tail coat วันธรรมดาก็ใส่เนกไท สูท เต็มทุกวัน เหมือนดูเป็นคนเรียบร้อย แต่จริง ๆ เราก็มีแอบลงไปซื้อเหล้าแล้วเอามาขายเพื่อนที่โรงเรียน จนถึงขั้นเพื่อนที่มาซื้อดื่มกันจนครูจับได้และโดนไล่ออก แล้วก็จะมีพวกมาม่า cup noodles เราขาย 1 ปอนด์ต่อคัพเลย เอามาจากเมืองไทย ถือว่าเป็นช่วงเกเรนิดนึงตอนนั้น

นต : นตไปตอนประมาณ ม. 3 ครับ ตอนนั้นก็ประมาณ 14-15 จริง ๆ ตอนนั้นก็ตั้งวงกับไปร์ท (มือกลอง Getsunova) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เล่นมาด้วยกันตั้งแต่ ม. 1 แต่ตอนที่ผมจะไปเมืองนอกตอน ม. 3 ผมมีเพื่อนสนิทอีกคนนึงที่สนิทกันมาก โคตรรักกันเลย แล้วเค้าจะไปเรียนอังกฤษพอดี เราก็เฮ้ยเพื่อนจะไป เราก็เลยไปด้วย แล้วปรากฏว่าเพื่อนเทไปอเมริกา เราเลยเซ็งเลย แต่มีข้อดีคือมันก็เลยฝากเพื่อนคนนึงไว้ ซึ่งต่อมากลายเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตคนนึงก็คือ นาฑี (มือกีตาร์ Getsunova) ตอนนั้นนาฑีมันก็คูลที่สุดของเด็กไทยในอังกฤษเลย เพื่อนผู้หญิงก็เยอะ เพื่อนผู้ชายก็มีเป็นแก๊ง ใครอยากจะเข้าแก๊งนี้ก็ต้องมาหานาทีเลย ทุกคนก็เรียนโรงเรียนประจำ พอเวลาเสาร์-อาทิตย์ก็มาเจอกัน ใครจะนั่งโต๊ะที่มีนาฑีอยู่ได้เนี่ยต้องกินเหล้าดวลกับมันอ่ะ ต้องมีดวลช็อตสู้กัน อย่างผมเป็นรุ่นน้องเวลาเข้ามาก็จะต้องกินช็อตกันกี่ช็อตเหมือนรับน้อง กินแอปซินธ์ ใครกินได้ก็ผ่านเข้ารอบ อยู่ด้วยกันได้ (หมายเหตุ : Absinthe แอบซินธ์ หรือ แอบแซ็งธ์ คือ เหล้าชื่อดังอันทรงพลังที่คอเหล้าทั้งหลายรู้จักกันดี คิดค้นขึ้นโดยนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส ปิแยร์ โอร์ดิแนร์ ความแรงของแอบซินธ์อยู่ระหว่าง 50–75 ดีกรี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะกลั่นให้อยู่ที่ 60 ดีกรี คำว่า Absinthe มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน “Absinthium” ที่มาจากภาษากรีก “Apsinthion” แปลว่า “ไม่สามารถดื่มได้” )

นต และ นาฑี

The Lucky Beginning เริ่มต้น…ที่ความ ‘โชคดี’

ช่วงเวลาแถว ๆ นั้นรึเปล่าที่เนมกลับมาออกอัลบั้มที่เมืองไทย

เนม : ใช่ครับ คือต้องใช้คำว่าโชคดีด้วย ผมต้องยอมรับตรงนี้ว่าคุณพ่อหรือคุณน้าผมเป็นเพื่อนสนิทของคุณ บุษบา ดาวเรือง แล้วก็อยู่ดี ๆ ก็ได้ทำอัลบั้มกับกรีนบีน (เป็นค่ายสำหรับศิลปินรุ่นใหม่ของแกรมมี่) มีพี่อาร์มเป็นคนดูแล (ผู้บริหาร White Music ที่ Getsunova ทำงานด้วยในปัจจุบัน) ผมไม่รู้ว่าผมทำได้ยังไง แต่ผมจำได้ว่าผมต้องทะเลาะกับพ่อแม่หนักมากเพื่อมาออกอัลบั้ม เพราะผมต้องหยุดเรียนไปปีนึง ตอนเรียนที่เมืองนอกตอนนั้นมันจะมี option ให้เราเลือกเทค Gap Year ซึ่งเราสามารถที่จะเลือกไปไหนก็ได้ในปีนั้น ไปเดินทางรอบโลก ฝึก work experience ที่นี่ที่นั่น เราเลยเลือกที่จะเป็นนักร้อง เลยทะเลาะกับพ่อแม่หนักมาก ร้องไห้ร้องห่มสู้กันเลย เหมือนเค้ากลัวว่าเราจะไม่กลับไปเรียนต่อ

นต : ซึ่งถ้าตอนนั้นดังก็คงไม่กลับไปเรียนจริง ๆ น่ะ

เนม : นั่นสิ โชคดีนะที่ไม่ดัง (หัวเราะ) เป็นอัลบั้มที่ผมงงมากเลย นี่ก็เกือบจะ 20 ปีแล้ว

ผมจำได้ว่าซิงเกิลแรกคือเพลง ‘Princo’ ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อของ CD-R สุดฮิตในยุคที่พวกเราไรท์ซีดีกัน ในตอนนั้นทำงานกันยังไง

เนม : ผมจะมีทีมโปรดิวเซอร์ จำได้ว่าตอนนั้นผมอยากจะเป็นบริตพอป ผมมีส่วนร่วมในการเขียนเนื้อเพลงหลายเพลงอยู่เหมือนกัน แต่ในเรื่องของดนตรีผมเองก็ยังแต่งเองไม่เป็นหรอก เค้าก็เหมือนทำเพลงมาให้ คือตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพลงดีไม่ดี แต่มีคนทำให้เราแล้วตั้ง 10 เพลง เราก็ร้องไปดิ เอาดิวะ บางเพลงมันดีนะอัลบั้มนั้นน่ะ

นต : ที่จริงมันดีนะครับ ผมว่ามันดีนะ

ป๋าเต็ด : จริง ๆ ซาวนด์มันต่างจากเพลงแกรมมี่ในยุคนั้นด้วยซ้ำไป มันมีอะไรแบบที่ก็ไม่ได้แมส และก็ไม่แมสจริง ๆ (หัวเราะ)

เนม : มันมีความขาด ๆ เกิน ๆ ด้วยลุคของเนมในตอนนั้น ที่มีทีม PR เค้าจับแต่งตัวใส่แว่นหนาเตอะขอบดำอะไรอย่างนี้ แล้วผมยาวรากไทร คือมันคงไม่ใช่ลุคที่เมืองไทยต้องการในตอนนั้น

นต : ผมว่ามันกลาง ๆ ไปมันไม่สุดไปฝั่งอินดี้เลย และมันก็ไม่ได้สุดมาฝั่งเมนสตรีมนะ

ป๋าเต็ด : นี่มันก็เป็นปัญหาเลย ที่เราอยู่ตรงกลาง ๆ มันก็เลยทำให้ฝั่งอินดี้ก็ไม่เอา ฝั่งเมนสตรีมก็ไม่เอาอีก

เนม : อีกอย่างนึงผมว่าประเด็นหลักเลยที่ผมต้องพูดเลยว่าที่มันไม่ success มันอยู่ที่ตัวผมนี่ล่ะ คือ หนึ่งเลยเสียงร้องของเนมตอนนั้น มันยังไม่ใช่แบบที่คนรู้จักในทุกวันนี้ เสียงร้องเนมตั้งแต่นั้นมาจนถึงก่อน ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ มันไม่ใช่แบบที่ทุกคนจำได้ แล้วก็จะมีคนวิจารณ์เยอะเรื่องเสียงเนมตั้งแต่ไหนแต่ไรเลย และเราเป็นคนที่ค่อนข้าง self เรื่องร้องเพลง เพราะเราเกิดมาในครอบครัวที่มีญาติพี่น้องเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งมาก (เช่น คุณ วิฑูร ศิลาอ่อน) แล้วพ่อก็เป็นคนชอบเล่นดนตรีมาก่อน แล้วเราไปเรียนเมืองนอก แล้วเราอยู่ใน Choir ที่ได้ร้องเพลงในโบสถ์ที่ได้คัดเลือกจากทั้งโรงเรียนไปอยู่ แล้วได้มาทำงานที่เราควรจะภูมิใจแต่กลับถูกคนวิจารณ์เราเยอะ ถึงขนาดมีรุ่นพี่คนนึงมาเล่าให้ฟังว่าพี่เปี๊ยกดีเจสยามถึงขนาดเดินมาบอกรุ่นพี่ผมตอนที่กำลังเลือกซื้อซีดีว่า แผ่นนี้อย่าซื้อ ไม่ต้องซื้อ ! (หัวเราะ)

ป๋าเต็ด : แล้วหลังจากนั้นได้เคลียร์กับพี่เปี๊ยกมั้ยครับ

เนม : ได้เคลียร์ครับ พี่เปี๊ยกก็บอกว่าตอนนั้นมึงร้องแย่จริง อะไรประมาณนั้น

แล้วเรายอมรับรึเปล่าว่าตอนนั้นเรายังไม่ถึง

เนม : ยังไม่ถึง แล้วก็ผมจะร้องเพราะ ตอนที่เสียงยังไม่แตกเป็นโซปราโนอะไรแบบนี้ พอแตกปุ๊บเนี่ย เสียงพูดมันก็จะมีความเป็นเป็ด ๆ อยู่แล้ว เลยหาช่องไม่ถูก ยังไม่เจอช่องที่มันใช่ พอกลับมาฟังแล้วมันก็ไม่เพราะจริง ๆ 

นต : เพลง ‘รูปที่ยังวาดไม่เสร็จ’ นั่นน่ะดี พี่เนมเขียนเองด้วย อันนั้นน่ะผมแนะนำ

ได้เขียนไปกี่เพลงครับตอนนั้น

เนม : มี 4 เพลงครับ มีแพลงนึงชื่อ ‘แพนด้า’ แล้วก็มีเพลง ‘รูปที่ยังวาดไม่เสร็จ’ ‘Please Hold My Hand’ มันเขิน (หัวเราะ) แล้วก็อีกเพลงนึงชื่อ ‘So What’s Your Name?’ ก็น่าจะเขียนเอง

นต : พูดชื่อมา มันก็น่าจะเขินจริง ๆ  (หัวเราะ)

เสียใจมั้ยที่การทำงานครั้งนั้นมันไม่เวิร์ก

เนม : ไม่ได้ถึงกับเสียใจแต่มันเป็นความอายในตัวเองบางอย่างมากกว่า คือมันอายเพื่อน อายคนที่เห็นเรา เพราะตอนนั้นเรายังเด็ก มีคนวิจารณ์แล้วเราก็คิดเยอะ แต่ไม่ถึงกับโศกเศร้า มันเฟลอ่ะ คิดว่ามันจะเท่มีอัลบั้มของตัวเอง มีแผ่นคาราโอเกะ เฮ้อ เสียดายไม่อยากจะอวด เพื่อนฝรั่งก็ถามเป็นไงมีอัลบั้ม

มันส่งผลให้อยากทำเพลงต่อหรือเปล่า

เนม : ส่งผลให้อยากทำเพลงต่อ เพราะว่าหนึ่งเลยเราอยากมีวงเป็นของตัวเอง เรารู้สึกว่าเรามีอะไรที่อยาก offer มากกว่านี้ ภาพที่เราเห็นมันมากกว่านี้

และนี่ก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของ Getsunova ตอนนั้นมันเริ่มต้นได้ยังไงครับ

นต : ช่วงที่เค้าปล่อยอัลบั้มนี้ออกมา เราก็เหมือนเป็นกองเชียร์อยู่แล้วนะ เหมือนพี่เนมเค้าก็มาขายฝันเราไว้ ‘เนี่ยเดี๋ยวพออัลบั้มนี้จบนะ กูจะมาพวกมึงเข้ามาแกรมมี่’

เนม : เฮ้ยสบายรู้จักเค้า เข้ามาเลย (หัวเราะ)

นต : ก็เริ่มทำเดโมเลย แต่ว่าแน่นอนมันก็มี ไอ้จุดที่พี่เนมเค้าบอกว่า อันนี้มันยังไม่ใช่ มันก็เลยเป็นการบ้านของวงว่าอะไรที่ใช่ เราก็จะทำให้มันเป็นบริตร็อก หรืออินดี้บริตให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ แล้วเราอยู่กันที่อังกฤษก็เริ่มจากการไปดูคอนเสิร์ตด้วยกันก่อน มันก็ดูตลกดีที่เราเริ่มจากการดูคอนเสิร์ตก่อนที่จะเริ่มแต่งเพลง เราก็เริ่มคุยกันว่าชอบวงอะไร แน่นอนยุคนั้นก็มี The Libertines , Arctic Monkeys ก็คือ reference หลักชอบ

เนม : The Strokes !

นต : ถูกเลย แล้วก็เราก็ทำเดโมอะไรกันมาหลาย ๆ เพลง ก็ทำกันอยู่เยอะหลายรอบนะ ก็ยังมีกลุ่มโปรดิวเซอร์เก่าที่ทำเพลงกับพี่เนม เราก็เอาเพลงที่ทำนี่ล่ะไปส่งเค้า แล้วก็ทำเดโมไปส่งค่ายสนามหลวง

เนม : นี่ผมก็เลยอยากถามป๋าเต็ดว่า…

ป๋าเต็ด : คือจะถามว่ามาเจอผมได้ยังไงใช่มะ ก็ดีเหมือนกัน ก็เมื่อกี๊ก็เพิ่งคุยกันว่า เราทำงานด้วยกันตอนอยู่สนามหลวง แต่เราไม่มีโอกาสได้คุยกันแบบนี้เลยเนอะ มันจะเป็นแบบนัดมาเจอกันแล้วก็คุยกันนิดนึง จุดเริ่มต้นมันหยั่งงี้ มีวันนึงผมนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานในสนามหลวง ตอนนั้นผมกลับจากแฟต เรดิโอ กลับมาทำแกรมมี่ อากู๋ให้มาทำสนามหลวง ระหว่างนั้นก็มีโทรศัพท์มาอากู๋โทรมา อากู๋พอเค้านึกอะไรออกเค้าจะโทรเลย แล้วเสียงฟังดูรู้ว่ากำลังประชุมนั่งหัวโต๊ะอยู่เลย เค้าก็บอกว่า ‘เต็ด มันมีวงนึงส่งเดโมมาลองเอาไปดูซิ เผื่อว่ามันจะเข้ากับสนามหลวง’ ผมก็ไปรับแผ่นมา ปกติวันนึงเราจะฟังเดโมกันเยอะมาก แล้วแผ่นเดโม Getsunova แผ่นนั้นน่าเสียดายที่ตอนนี้ผมหามันไม่เจอ ด้วยความที่มันเป็นแผ่น Princo CD-R มาเลย แต่มันไม่ได้มาแค่เพลง มันเหมือนกับมีภาพถ่าย มี look book แบบพวกผมจะแต่งตัวแบบนี้อ่ะ แล้วเหมือนไปถ่ายที่บ้านนาฑีด้วยใช่มั้ย

เนม / นต : ใช่ ๆ ๆ ครับ จ้างตากล้องมาเลย พี่เชนมาเลย

ป๋าเต็ด : โห เชน ตอนนั้นก็ถ่ายปกแฮมเบอร์เกอร์ A day อะไรอย่างนี้นะ ปกติเดโมมันจะเป็นภาพถ่ายกันเอง ถ่ายแบบง่าย ๆ แต่นี้แบบ โห เอาจริงเว้ย เหมือนมีเล่าประวัติ มีอะไรค่อนข้างครบ ผมยังคุยกับทีมงานเลยว่า นี่มันเหมือนกับถ่ายปกมาเสร็จแล้ว พร้อมออกเลย ผมจำไม่ได้ว่ามันมีเพลงอะไรบ้าง แต่พอดูข้อมูลว่าทำเพลงเองด้วยก็เลยสนใจ เพราะสนามหลวงเราอยากได้วงที่ทำเพลงเองด้วย ก็เลยเรียกมาคุย นี่แหละที่มาคืออย่างนี้

Take Chances , Make Mistakes เข้าหาโอกาส…และเผชิญความล้มเหลว

ป๋าเต็ด : ผมจำได้ว่าตอนนั้นพอมาคุยกันแล้ว คุณก็มีเพลงมาประมาณหนึ่ง ผมก็ไปหาโปรดิวเซอร์ เพราะผมก็ไม่ได้มีความสามารถทางด้านดนตรีที่จะไปดูคุณในห้องอัดได้ ก็เลยได้ สก็อตต์ วงมอฟฟ์แฟตต์ มาเป็นโปรดิวเซอร์ ที่เราเลือกสก็อตต์ก็เพราะว่าเค้าประสบความสำเร็จกับการทำงานกับ Slot Machine มา แล้วเป็นฝรั่งด้วยว่ะ งานคุณก็เป็นแนว  ๆ ด้วยก็เลยได้เป็นงานอัลบั้ม ‘Electric Ballroom’ มา

Getsunova และ สก็อตต์ วงมอฟฟ์แฟตต์

คุณรู้สึกยังไงกับงานทำงานเพลงชุดนี้และการทำงานกับสนามหลวงบ้าง

นต : จริง ๆ ต้องบอกว่าตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราโคตรเท่เลยนะ ได้สก็อตต์ด้วย ได้สนามหลวงมีป๋าเต็ดที่ทำแฟตเรดิโอ มันถูกต้องที่สุดแล้ว ยังไม่ทันออกก็รู้สึกเท่แล้ว แน่นอนพอสก็อตต์มาเค้าก็เอาความ professional เข้ามา เข้ามาสอน เข้ามาซึมซับ สอนให้เล่นให้ตรงบีท รู้สึกว่าผลงานเราตอนนั้นมันล้ำสมัยเลย

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น

นต : ผมว่าเราทำถูกต้องทุกอย่างแต่แค่ มันเร็วไปสำหรับที่นี่ ตอนนั้นเราก็กำลังบ้าซินธ์ อิเล็กทรอนิกส์ ผมว่ามันเร็วไปประมาณ 2-3 ปี ตอนนั้นคนกำลังอินอีโม ร็อก ตอนนั้น Retrospect กำลังดัง

เนม : มันก็คงเป็นที่เสียงด้วยที่มันยังไม่นิ่งอ่ะตอนนั้น  เราไม่ได้เสียงเหมือนพี่ เฟิด Slot Machine ที่ให้เสียงมันพุ่งไปแบบนั้น ยังไม่เจอเสียงของเรา

เรารู้สึกยังไงกับจุดที่เรายืนอยู่ ณ ตอนนั้น

นต : ตอนนั้นเริ่มท้อแล้ว ตอนแรกยังมีไฟ ปล่อย EP 3 เพลงกับป๋าเต็ด รู้สึกว่าไม่เป็นไรเพิ่งเริ่มต้น เลยมีกำลังใจมาทำต่อรอบสองกับสก็อต และทีมดี ๆ แถมมีพี่ย้ง ทรงยศ ทำ MV ให้ด้วย พอมันเซลฟ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งตกลงมาเจ็บ ก็เริ่มรู้สึกเฟลขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนั้นก็ตั้งใจจะออก CD ด้วย และก็มาถึงช่วงท้ายของสนามหลวง ป๋าเต็ดก็มาทำ Big Mountain ตอนนั้นมันก็รู้เฟลละ ป๋าเต็ดไม่อยู่มันก็รู้สึกไม่มีหัวหน้าที่คอยยึดเหนี่ยว เหมือนเราถูกโยนไปนู่นไปนี่ ไม่รู้พี่เค้าต้องการเรารึเปล่า

เนม : ตอนนั้นเราก็คิดนะที่ป๋าเต็ดไม่อยู่แล้ว เพราะเราทำเค้าเจ๊งรึเปล่าวะ (หัวเราะ)

ป๋าเต็ด : ความจริงคืออย่างนี้ ตอนนั้นเนี่ยมันเป็นช่วงที่พี่ต้องเริ่มทำ Big Mountain แล้วโพรเจกต์มันใหญ่มากซะจน ทำพร้อมกันสองอย่างไม่ได้ ก็เป็นช่วงที่มาก่อตั้งหน่วยงานที่ชื่อ ‘เกเร’ แล้วสนามหลวงก็เปลี่ยนผู้บริหารไป เป็นช่วงรอยต่อ แล้วเวลาก็ผ่านไปแล้วก็ได้ยินว่า Getsunova ไปอยู่ทีมนี้ทีมนั้น กี่ปีอ่ะทั้งหมดตั้งแต่วันที่ออก EP. แรก

นต : EP. แรกก็ประมาณ 2007 แล้วก็มา ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ คือประมาณ 2012 ประมาณ 5 ปี

ป๋าเต็ด : สำหรับผม ผมว่ามันน่าสนใจสำหรับ 5 ปีนี้ ที่เราอยู่กับความคิดว่าเค้าต้องการเรารึเปล่า

เราอยู่กับภาวะนั้นยังไง

นต : ก็เหมือนยังดื้อรั้น ยังอยากทำ ยังรักดนตรีอยู่ เราก็ถูกโยนไปโยนมาจนได้มาเจอ พี่อั๋น ค่าย Duckbar เรา Getsunova ก็กล้าพูดเลยว่าผู้ให้กำเนิดคือ ป๋าเต็ด แต่ว่าก็จะมีพี่อั๋น ที่เราเรียกว่าเป็นผู้ชุบชีวิต ตอนนั้นชีวิตเราเหมือนวงมันตายไปช่วงนึง จนมาเจอพี่อั๋นที่ก็คงเห็นว่า วงมันเด้งไปเด้งมา ก็เลยมาดูแลต่อให้

Period of Struggling 5 ปี…แห่งการดิ้นรนและฝ่าฝัน

ป๋าเต็ด : ผมว่าตอนนั้นมันก็คงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล่ะนะครับ ว่านี่มันวงไฮโซ วงลูกคนรวย เก่งจริงรึเปล่าวะ คุณอยู่กับเรื่องแบบนี้ยังไง คุณทำยังไงกับมัน

นต : จริง ๆ เราก็ไม่ได้เถียงนะ มันก็เป็นจริง ..

เนม : จริง ๆ มันก็เป็นจริงตามที่เค้าว่า ก็อย่างที่เนมบอกตั้งแต่แรก ว่ามันมีคอนเนกชัน อย่างนึงที่ไม่เถียงก็คือ ก็เราไม่เก่งจริง ๆ ตอนนั้น ก็ไม่ดีจริง ๆ

นต : ผมว่า 5 ปีที่มันเฟล มันค่อย ๆ บอกเราว่ามึงอย่ามาแต่ใช้เส้นสายหรือวิธีทางลัดอะไรนะ มันพรูฟว่าการมีเส้นมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในวงการดนตรี เพลงดังมันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ มันต้องเก่งเอง ทำเอง เลยมาถึงจุดที่เราคุยกันว่า เออมึงไม่เก่งอะไร มึงร้องไม่เก่งก็ฝึกร้องใหม่ อีกอันที่ผมว่ามันเป็นปัญหาของเราก็คือเนื้อเพลงมันไม่สื่อสารเลย ก็มาค่อย ๆ analyse กัน เราก็ต้องไปเรียนรู้เรื่องดนตรีใหม่ ร้องเพลงใหม่ ฝึกแต่งเพลงใหม่ มีจะเลิกไปแล้วด้วยนะตอนนั้น ให้พี่ฟองเบียร์เขียนก็ได้ครับ แต่การได้ไปอยู่กับพี่ฟองเบียร์ทำให้เราคิดว่าเราควรไปเรียนและฝึกเขียนเองจะดีกว่า จะให้เค้าเขียนตลอดก็ไม่ได้ และเราก็อยากเก่ง อยากเรียนรู้ พี่อั๋นก่อนที่จะให้เราออกซิงเกิลสุดท้ายของวงเราที่เราคุยกันตอนนั้นนะครับ ก็คือ ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ นี่ล่ะ เราคิดว่าแค่วงเราเฟลกันเองมันก็โอเคนะ แต่ให้ทีมของเราเฟลไปด้วยมันไม่ได้นะ  นี่ล่ะครับคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราได้เริ่มต้นใหม่

การฝึกร้องนี่มันฝึกยังไงครับ จริงจังแค่ไหน

เนม : ก็ถูกส่งไปเรียนกับครูโรจน์ที่แกรมมี่นี่ล่ะครับ ผมไปเรียนเป็นปี ก็เรียนไล่สเกล เรียนอะไร วันนึงผมก็เริ่มร้องอีกแบบไปเลย เสียงนี่ไม่รู้ว่ามันมาให้เนมใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ด้วย ก็ยังไม่รู้วันไหนจากที่อยู่ดี ๆ เราร้องแบบนี้กลายมาร้องแบบนี้ แต่แน่นอนว่าครูโรจน์เจออะไรบางอย่าวงที่เนมไม่เคยรู้ว่ามันมี เจอวิธีการร้องแบบนี้ เจอเส้นเสียงแบบนี้

นตไปเรียนเขียนเพลงมาเป็นยังไงบ้าง

นต : ก็จะมีพี่ยักษ์เป็น lyric director แล้วเค้าก็จะพาเราไปรู้จักกับทั้งพี่ฟองเบียร์ พี่เป๋า พี่ตู๋ แล้วก็ไปนั่งฟังพี่ ๆ ทีมเพลงลุกทุ่ง เราก็เลยไปซึมซับตรงนั้น จังหวะนั้นผมปลดล็อกตัวเองหมดแล้วนะ ไอ้ความอยากเท่ อยากอะไร ไม่มีแนวเพลง แค่อยากสื่อสารให้เข้าใจ นั่นคือเป้าหมายเลย จากคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน จนรู้ว่าหนังสือนี่มันมีประโยชน์ที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องเนื้อเพลงได้ง่าย ๆ  เลย จากนั้นผมก็เริ่มไปเน้นเลย เข้าร้านหนังสือ ผมก็จะเลือกทุกอันที่เป็นอันดับ 1, 2, 3 อ่านให้เข้าใจ เอาที่พอปอย่างเดียว แสดงว่าคนต้องชอบ คนไทยต้องอยากฟังถ้ามันเป็นเนื้อเพลง ช่วงนั้นผมไม่ฟังเพลงเลย วางกีตาร์ วางคอม เข้าร้านหนังสืออ่านอย่างเดียว จนเจอคำที่มันย้อนแย้งกับได้กลิ่นแบบ ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ เลย จำได้ว่าทุกเล่มที่อ่านมันจะมีอะไรแบบนี้ มันเป็นวิธีตั้ง chapter สำหรับนักเขียนเค้า ถ้าคนเค้าชอบวิธีเล่าแบบนี้แต่ไม่มีใครเอามาเขียนเพลงเลย ถ้าเราดึงมาใช้ในเรื่องของเพลง มันก็เป็น identity ของเราได้เหมือนนะเนี่ย ในที่สุดมันก็ออกมาเป็นเพลง ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ พี่เนมเหมือนจะทุบหม้อข้าวแล้วถ้าเพลงนี้ไม่ดัง ก็จะเลิกเลย ด้วยมันเหนื่อยด้วย เราก็พยายามส่งเพลงไปเรื่อย ๆ ตอนแรกทุกคนไปส่งกันหมด จนมันเหนื่อยแทบไม่มีใครรู้สึกอยากไปส่งเพลงแล้ว บางทีตอนส่งเปิดเพลงแค่ขึ้นมาปุ๊บก็ปิดไม่เอาแล้ว จนในที่สุดมันก็ผ่านแค่เพลงเดียวคือ ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ นี่ล่ะที่ผ่าน ฟังจนจบฮุคแรก ยาวที่สุดแล้วที่เค้าจะฟัง

ได้มานั่งวิเคราะห์มั้ยครับว่าอะไรทำให้ ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ มันผ่าน

นต : ถ้าให้วิเคราะห์จริง ๆ ผมว่าก็คือเนื้อเพลงนี่ล่ะ แล้วก็แมสเซจของมันที่ถูกส่งออกมาคือ คำว่า ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ คำนี้มันยังไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือวิธีการเล่าแบบนี้ตอนนั้นยังไม่มีใครเล่าได้ชัดเจน แล้วก็เมโลดี้ก็เป็นเมโลดี้ที่เข้าใจง่าย แปลกแต่ก็ไม่ได้แปลกเกินไป ฟังแล้วก็ติดหู

พอมัน release ออกมาแล้วมันน่าจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนของ Getsunova เลยใช่มั้ยครับ อะไรที่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นครับ

เนม : ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากครับ พอปล่อยออกมาแล้วก็ไปโปรโมคไปทัวร์ แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาด นั่นก็คือการแต่งตัวของพวกเราครับ ผู้ชายสี่คนปิดหน้า บวกกับชื่อเพลง บวกกับภาพโปรโมตผู้ชายใส่ชุดดำสี่คนเหมือนโหด แต่พอฟังเพลงแล้วไม่โหด มันเลยมีความขัดแย้งในตัวเองอยู่แล้ว

แล้วเรื่องการใส่หน้ากากนี้มันมายังไงครับ

นต : คือพวกเราไปได้มีโอกาสไปงานอวอร์ดต่าง ๆ เยอะใช่มั้ยครับ เราก็สังเกตว่าทำไมวงร็อกต้องใส่สูทเป็นแพตเทิร์นกันไม่รู้เลยว่าวงไหนเป็นวงไหน แล้วมันมีวิธีไหนมั้ยที่มันแตกต่างเดินเข้ามาแล้วรู้เลยว่าเป็นวงนี้แล้วชี้ได้โดยที่ไม่ต้องมองหน้านักร้อง ก็เลยว่าเค้าจำหน้าวงที่เหลือได้อยู่แล้ว เราปิดหน้าให้เค้าตกใจเลยดีกว่า เลยกลายเป็นกิมมิกเรา แล้วช่วงนั้นเราก็พยายามไม่ใส่สูทก่อน เสื้อยืดก็ได้วะ แต่ปิดหน้าไว้ให้ดูแปลก แต่ทุกวันนี้ไม่แปลกแล้ว เพราะทุกคนปิดกันหมด ไม่ปิดสิแปลก (หัวเราะ)

อย่างชื่อเพลง ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ คล้าย ๆ จะกลายเป็นท่าไม้ตายประจำตัวไปแล้ว อันนี้ตั้งใจหรือตกกระไดพลอยโจน

นต : ก็มีแอบหยุดบ้าง แต่ผู้ฟังส่วนใหญ่เรียกร้อง ผมรู้สึกนะ ทุกครั้งที่เราปล่อยเพลงไม่ขัดแย้งออกมา ก็จะมาแก้กันให้ได้ นี่มันเพลง Getsunova ปลอมนี่หว่ าก็เป็นข้อดีละข้อเสียเหมือนกัน อันนึงที่เป็นข้อดีคือ พอมันขัดแย้งปุ้บไม่ว่าจะทำดนตรีแนวไหน คนก็จะรู้ว่าเป็น Getsunova จริง ๆ Getsunova แอบเปลี่ยนดนตรีเปลี่ยนสไตล์มาเยอะแล้ว แต่เราอยู่รอดได้โดยไม่มีใครครหาว่าเปลี่ยนแนวเพราะว่าเรายังใช้คำเหล่านี้เป็นชื่อเพลง มาเป็นตัวเชื่อมทุกอย่างอยู่ อย่าง ‘รู้ดีว่าไม่ดี’ กระแสฮิปฮอปกำลังมา เราก็เอาวะมาฮิปฮอปละ มี Youngohm มาฟีเจอริ่งด้วย  ทุกคนก็ยังรู้สึกว่าเป็น Getsunova เหมือนเดิม DNA เรายังอยู่

Remain Successful รักษาความสำเร็จ

พอ ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ มันประสบความสำเร็จวิธีการทำงานของ Getsunova มันเปลี่ยนไปมั้ยครับ

เนม : มันก็มี debate ว่าแบบเพลงแรกมันประสบความสำเร็จขนาดนี้ คนจะมองว่าเป็น one hit wonder รึเปล่า จำได้เลย มันมีงานอวอร์ดวันนึง พี่โอม Cocktail มาบอกว่า เพลงนี้มันดีมากเลยแต่ระวังนะอย่าให้มันเป็น one hit wonder

นต : อย่างพี่พล ที่เป็นโปรดิวเซอร์ก็เคยพูดนะ แต่เราไม่เคยคิดถึงคำพูดนี้เลย จนกระทั่งตอนนั้นที่เราได้รับรางวัล nine entertain เรากำลังฉลองกันเลย พี่พลโทรมาว่า ‘นต มึงอย่าดีใจ’ คือเหมือนแทบจะโดนดุแล้ว ด้วยมุมความซีเรียสของพี่พลด้วย ‘อย่าเพิ่งดีใจ วันนี้เราได้รางวัล อีกแค่ปีเดียวรางวัลนี้ก็กลายเป็นของคนอื่นแล้ว ที่ที่เราดีใจอยู่ตอนนี้อีกแป๊ปเดียวมันก็หายไป ที่เราต้องทำคือตั้งใจทำเพลงดี ๆ แบบนี้ออกมาอีกเรื่อย ๆ’ แล้วในมู้ดผมตอนนั้นเราเป็นเด็ก กำลังดีใจก็โดนดึงมู้ดเลย มันเป็นจังหวะที่ผมเองก็ช็อกเหมือนกัน นี่ก็เพิ่งมาหลัง ๆ ไม่กี่ปีที่เราคิดถึงประโยคนี้แล้วรู้สึกว่ามันโคตรมีพลังเลยอ่ะ ถ้าไม่มีคนคอยพูดอะไรแบบนี้กับเรา กดเราไว้ไม่สปอยล์ เราอาจจะเหลิงไม่มีไอเดียที่อยากทำต่อ หลัง ๆ เราจำได้ว่าไม่มีมาฉลองกันแล้ว มีแต่คิดว่าจะทำยังไงต่อให้มันประสบความสำเร็จ

อยู่กันมา 16 ปีแล้วมันมีแนวโน้มที่จะวงแตกบ้างมั้ย

นต : ตอนที่รู้ว่าป๋าเต็ดเชิญ เราก็คิดแล้วว่าวงเราคงไปไม่ได้ว่ะ เพราะวงเรายังไม่แตก (หัวเราะ) ก็ไม่มีหรอกผมว่า มันไม่ถึงขั้นแตก แต่ทะเลาะผิดใจกันน่ะมี

ทริคมันคืออะไร ที่ทะเลาะกันแล้วยังสามารถอยู่กันต่อได้

นต : ของเราผมยังไม่เคยเห็นใครที่ทะเลาะกันแล้วไฝว้กันเลย ปกติพอทะเลาะกันแล้วมันจะมีคนคอยรับอ่ะ

เนม : ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเนมกับนาฑีนี่หล่ะ ที่เป็นคนคอยรับ มันจะมีอยู่ช่วงนึง ก่อน ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ ที่เราเฟล ๆ กันอยู่ ตอนนั้นไปร์ทร้องไห้เลย ช่วงนั้นเนมก็เกเร ๆ มาซ้อมสาย แล้วไปร์ทเค้าก็จะเป็นคนตรงเวลา เรียกซ้อมวันนี้เนมมาสาย ไม่มา มาก็ไม่ได้ตั้งใจ แล้วเหมือนมันเห็น มันก็บิลท์อัป แล้วเราไม่ถ่ายรายการเสร็จมานั่งกินข้าวเฟล ๆ กัน ไปร์ทหรือนตนี่ล่ะก็พูดขึ้นมา แต่จำได้ว่ามันมีการทุบโต๊ะแล้วก็ร้องไห้ เหมือนแบบไปร์ทกับนตแทบจะกรีดเลือดเลยนะที่ทำให้วงมันอยู่รอด ก็เลยอยากให้พี่เนมกับนาฑี put effort กันหน่อย ตั้งใจหน่อย

นต : แล้วมันได้ผลมั้ย

เนม : ก็ไม่ได้ผล (หัวเราะ)

นต : แต่มันก็ทำให้มีไฟขึ้นมา ผมว่าพอมันมีเพลงดังมันก็ทำให้ทุกคนสวิตช์กลับมา มีทางไปแล้ว ตอนนั้นผมว่าไอ้ทางฝั่งนี้ที่มันทุบโต๊ะก็เพราะว่ามันมีความท้อด้วยล่ะ ไม่ได้ว่าเราไปโกรธอะไรเค้านะ คือมันมองไปมันไม่เห็นทาง ก็เลยแบบขอสักหน่อยวะ (หัวเราะ)

จริง ๆ พวกคุณทั้งสี่ไม่จำเป็นต้องมีวงดนตรีก็ได้ แต่นี่ก็เหมือนพวกคุณตั้งใจทำแบบที่ไม่ใช่งานอดิเรกเลย ตั้งใจแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ

นต : ตั้งแต่ต้นเลยนะผมว่า มันคือการเอาจริงมาโดยตลอด ถ้าในมุมคิดกลับแบบไม่ต้องทำก็ได้ก็กลับบ้านไปทำธุรกิจที่บ้าน ผมว่าจังหวะนั้นที่กลับไปทำมันจะเฟลยิ่งกว่าไม่ได้ทำต่ออีก เจอหน้าพ่อแม่เนี่ย มึงกระจอกกลับมาเลยนะ ไปทำอะไรตั้งนานยังไม่เคยสำเร็จเลย มันเหมือนคนเฟลกลับมาขอตังค์พ่อแม่ ผมเองก็ไม่อยากทำยังงั้น ทุกคนก็ไม่อยากทำยังงั้น ยิ่งถอย มันยิ่งเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ตลอดกาล ยิ่งคนบอกว่าแต่งเพลงไม่ดี เสียงไม่ดี วันนึงมันต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ถ้าปล่อยให้หลุดไป มันจะกลายเป็นเรื่องโจ๊กตลอดชีวิต

เนม : อีกอย่างเรามี believe ในหัวเรา เราไม่เคยหยุดที่จะเชื่อว่าเราทำได้ แต่มันเหมือนแค่แบบยังไม่เจออะไรที่เป็นเราจริง ๆ

Being Getsunova ความเป็น…เก็ตสึโนวา

ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาของการเป็น Getsunova มันมีช่วงเวลาไหนที่ประทับใจที่สุดครับ

เนม : ของเนมก็เป็นตอนที่ได้รับรางวัล Song of the Year ของ nine entertain มันเป็นความแฮปปี้ที่สุดอันนึงตั้งแต่ทำวงมา จังหวะที่เค้าประกาศชื่อเรากระโดดกันหมดดีใจที่สุด แล้ววันนั้นมีคุณพ่อมีน้องสาวมานั่งลุ้นอยู่ด้วย พอเค้าประกาศแล้วน้องสาวผมร้องไห้เลยดีใจมาก พ่อดีใจมาก พูดแล้วจะร้องไห้เลย เหมือนเค้าเห็นว่าเราพยายามมาแล้วเห็นเราประสบความสำเร็จ คือน้องสาวเราเค้าเป็น biggest critic ของเนมเลย คือมีอะไรก็จะให้เค้าฟัง แล้วเค้าจะบอกเราว่าอันนี้ไม่ดี ไม่ดี อะไรแบบนี้ แม้กระทั่งเพลง ‘ไกลแค่ไหนคือใกล้’ มาให้เค้าฟังตอนแรกเค้าก็ไม่ชอบ บอกว่าเพลงอะไรวะมันไม่ใช่ แต่โมเมนต์ที่น้องสาวมานั่งดูเรารับรางวัลแล้วเค้าภูมิใจในตัวเราว่าเราทำได้แล้วนะ

นต : ของผมให้นึกขึ้นมาเร็ว ๆ ตอนนี้ก็คงจะเป็นตอน Big Mountain รอบที่เรากลับมาอีกที อย่างครั้งแรกที่เราไปมันเป็นโจ๊กติดตัวมาตลอด ได้เล่นแล้วนะเว่ยแต่มันไม่มีคนดู ไม่มีคนร้องเพลงเราได้เลยสักแอะ แต่พอกลับมามันไม่ได้มีเพลงเดียวแล้ว มันเป็นโชว์จริง ๆ ขึ้นไปจับกีตาร์แล้วมันก็เหมือนลอย ๆ ทุกสิ่งผ่านเข้ามาและผ่านไป อธิบายไม่ถูก จำไม่ได้เลยว่าผมเล่นยังไงเดินท่าไหน แต่จำความอิ่มได้ มันพีคสุด ๆ เลยตอนนั้น มันเหมือนเป็นเส้นชัยให้เราปลดล็อกอะไรทุกอย่าง ว่ามันคุ้มค่าแล้วกับสิ่งที่พยายามมาโดยตลอด

ตลอดชีวิตการทำงานมาจนถึงวันนี้ บทเรียนที่สำคัญที่สุดคืออะไรครับ

นต : ผมว่าต้องฟังผู้ใหญ่ เรียนรู้จากประสบการณ์ผู้ใหญ่นี่ล่ะเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุด ที่เราเฟลตอนแรก ๆ มันอาจจะเป็นเพราะว่าผมไฟแรงและไม่ฟังคำแนะนำ ก็แข็งข้อคิดว่าตัวเองเก่ง เจ๋งแล้ว พอมันมาถึงจุดนึงไอ้ความล้มเหลวทั้งหลายมันสอนให้เรารู้ว่าถ้าเราฟังเค้า มันน่าจะพาเราไปยังจุดที่ดีกว่านี้ มันมากระเทาะเราจนพบว่าเรามันเป็นแค่ไอ้เด็กกระจอก และให้เราไปเรียนรู้จากเค้า ฟังทุก ๆ คำสอนที่เค้าสอนเรา ทุกวันนี้เราก็คิดว่าเราเป็นมนุษย์คนนึงที่พร้อมจะรับฟัง หรือเด็กรุ่นใหม่มาเราก็ต้องพยายามเข้าใจเค้า รับฟังและเรียนรู้ด้วย ฟังผู้ใหญ่เนี่ยผมใช้มาสักพักแล้วนะ แต่ผมเพิ่งมาเรียนรู้ว่าต้องฟังเด็กมันด้วยนะ เด็กเก่งมันเยอะมาก

เนม : เนมเรียนรู้อย่างนึงว่าเราต้องมีความอดทน มันเป็นคำนึงที่แบบเราจะทำอะไรก็ตามเราต้องมีความอดทนในสิ่งที่เราทำอยู่ เราต้องยอม sacrifice ตัวเอง ยอมเหนื่อย เพื่อให้สิ่งที่เราทำอยู่มันออกมาดี ถ้างานเราออกมาดี เราก็จะแฮปปี้ คนดูแฮปปี้ ทุกคนแฮปปี้ เนมรู้สึกว่าเวลามันไม่รอใคร เราไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรในอนาคต เราก็ควรที่จะต้องทำในสิ่งที่เราทำอยู่ให้ดีที่สุด อะไรที่มันยังค้างคาใจว่าเรายังไม่ได้ทำ เราก็ควรที่จะทำมันขึ้นมาให้ได้ อยากจะใช้ชีวิตในทุกทุกวันให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เนมก็เริ่มวงนี้ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้มีลูกหนึ่งแล้ว คือเวลามันเดินเร็วมาก มันไม่เคยรอใครเลยจริง ๆ ก็พยายามทำทุกอย่างที่เราทำอยู่ให้มันดีที่สุดแล้วเราก็จะภูมิใจกับมันครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

เนื้อหาล่าสุด

Huawei ถอดเกมของ Tencent ออกจาก AppGallery พร้อมใส่คืนหลังตกลงผลประโยชน์ได้

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Huawei ได้ถอดเกมของ Tencent ออกจาก Huawei AppGallery เนื่องจากปัญหาด้านผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว แหล่งที่มารายงานว่า Huawei และ Tencent ...อ่านต่อ

Tesla เปิดตัวสถานี Supercharger ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเซี่ยงไฮ้เพื่อขยายตลาด EV อย่างต่อเนื่อง

31 ธันวาคม Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้เปิดตัวสถานี Supercharger ...อ่านต่อ

“2021” คาดหวังอะไรเรื่อง “การท่องเที่ยว” ในปีนี้ได้บ้าง

นี่เป็นบทความชุดรวมการคาดการณ์ที่ถูกพูดถึงปี 2021 ในหัวข้อ เราคาดหวังว่าจะเจออะไรได้บ้าง และนี่คือหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ตลอดจนการเดินทางข้ามพื้นที่ต่าง ๆ ...อ่านต่อ

เหตุผลสำคัญทำไมตัวกรองน้ำติดฝักบัวถึงจำเป็นต่อผิวและเส้นผมของคุณ!

คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำที่เราอาบนั้นมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายแฝงอยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนัก แร่ใยหิน ฟลูออไรด์ คลอรีน สารเคมี และสารปนเปื้อนต่าง ๆ ...อ่านต่อ