ข่าวเศร้าของวงการบันเทิงโลกวันนี้คือการจากไปของนักแสดงอาวุโส Sir Sean Connery ผู้โด่งดังจากบทที่ถือเป็นหนึ่งในไอคอนอมตะของโลกอย่างแฟรนไชส์ James Bond 007 ซึ่งเขารับบทสายลับพยัคฆ์ร้ายนี้เป็นคนแรกเมื่อปี 1962 จนถึงปี 1983 Connery เสียชีวิตในวัย 90 ปีตามรายงานของ BBC ที่ยังไม่มีการรายงานว่าเสียชีวิตจากเหตุอะไร แต่พอจะคาดเดาได้ว่าเสียชีวิตด้วยโรคชรา เนื่องจาก Connery ไม่มีรายงานว่าเขาป่วยเป็นโรคพิเศษอะไรนับตั้งแต่อำลาวงการไปในปี 2003 ซึ่งเขาแสดงหนังไว้เป็นเรื่องสุดท้าย
นอกจากบท James Bond แล้ว เขาก็ยังเคยได้ร่วมงานในหนังฮิตอย่าง Indiana Jones and The Last Crusade (1989) ของ Steven Spielberg เคยได้รับรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำจากหนังเรื่อง The Untouchables (1987) รวมถึงแสดงหนังแอ็กชันสุดฮิตของยุค 90s อย่าง The Rock (1996) ด้วย และนี่คือ 10 บทบาทที่น่าจดจำ ชวนหวนรำลึกถึงอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือตลอดกาล (สำหรับเรื่องที่มีบน Netflix ตอนนี้ What the Fact ก็แปะลิงก์ให้กดไปชมกันไว้แล้ว)
JAMES BOND (1962-1983)
หลังจากเล่นหนังในบทตัวประกอบมาครบ 10 เรื่องพอดี (เรื่องแรกคือ Action of the Tiger (1957) ซึ่งเป็นงานกำกับของ Terrence Young เขาประทับใจในนิสัยของ Connery มากและให้สัญญากับ Connery ไว้ว่า ถ้ามีบทบาทดี ๆ จะติดต่อไปให้มาเล่น ต่อมา Young ก็คือผู้กำกับของ James Bond 3 ตอนแรกนั่นเอง) Sean Connery ก็ได้รับเลือกให้มาแสดงในบทบาทที่โด่งดังและเป็นที่จดจำที่สุดของเขาอย่างสายลับพยัคฆ์ร้าย James Bond 007

เขาเป็นชาวสก็อตแลนด์ เกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน เคยต้องไปสมัครเป็นทหารเรือเพราะไม่มีจะกิน (ต่อมาประสบการณ์ที่เคยเป็นทหารเรือดันตรงกับปูมหลังของ James Bond ซึ่งทำให้เขาเล่นได้อย่างแนบเนียน) ต่อมาลองเข้าประกวด “มิสเตอร์ยูนิเวิร์ส” (หรือชายงามจักรวาล รางวัลที่อยู่คู่กับนางงามจักรวาลในสมัยนั้น ภายหลังรางวัลชายงามนี้ได้ยกเลิกไป) โดยได้รางวัลอันดับ 3 นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเข้าตาแมวมองและได้เริ่มเข้าสู่การแสดงจนได้ไปแสดงหนังของ Disney แต่ก็ยังไม่ดัง สุดท้ายภรรยาของเขาก็ได้บอกให้ลองไปทดสอบบทกับ 3 โปรดิวเซอร์และ Ian Fleming เจ้าของนิยาย James Bond ที่กำลังมองหาคนมารับบทนี้อยู่

ในเวลาน้ัน มีนักแสดงดังแห่งยุคมากมายที่เป็นที่หมายตาของทีมสร้าง (อย่างเช่น Christopher Lee ที่ต่อมากลายมาเป็นตัวร้ายของตอน The Man with the Golden Gun (1974)) แต่เนื่องจากทีมสร้างมีทุนสร้างแค่ 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งนับว่าน้อยมากในยุคนั้นจึงต้องหาดาราโนเนมมารับบท นักเขียน Fleming เมื่อได้พบกับ Connery แล้วเขาบอกว่า ชายคนนี้ไม่ตรงกับ Bond ในความคิดของเขาเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทีมสร้างทุกคนตัดสินใจเลือก Connery ก็คือภรรยาของ Fleming ที่พูดขึ้นมากลางห้องประชุมเลยว่า “ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เป็นบ้า!”
หลังจากนั้น Dr. No (1962) หนังสายลับ 007 ตอนแรกก็ออกฉายและฮิตถล่มทลาย สร้างกำไรให้กับ Eon Production จนต้องเข็นหนัง 007 ออกมาทุกปีจนถึงภาค You Only Live Twice (1967) ที่ Connery บอกว่ารู้สึกอิ่มตัวแล้วและไม่ขอกลับมากับบทนี้อีก แต่เมื่อเปลี่ยน Bond เป็นนักแสดงคนใหม่อย่าง George Lazenby แล้วแฟน ๆ ไม่ชอบ ทีมสร้างจึงขอให้ Connery กลับมาอีกครั้งเป็นการส่งท้ายกับตอน Diamonds Are Forever (1971) แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังได้หวนกลับมาเล่นบท James Bond ในหนังที่ไม่ได้สร้างโดย Eon Production อย่าง Never Say Never Again (1983) (ถอดพล็อตมาจากตอน Thunderball (1966) ที่เขานำแสดงเองไว้แบบเป๊ะ ๆ) หนังภาคนี้ไม่ถูกจัดอยู่ในสาระบบหลักของแฟรนไชส์ 007 ทั้ง 25 เรื่อง
ชวนอ่าน “10 หนังสายลับพยัคฆ์ร้าย James Bond 007 ที่ดีที่สุดตลอดกาล“
- นักแสดงคนอื่น: Ursula Andress, Joseph Wiseman, Jack Lord, Bernard Lee, Lois Maxwell, Daniela Bianchi, Pedro Armendáriz, Robert Shaw, Gert Fröbe, Honor Blackman
- ผู้กำกับ: Guy Hamilton, Terrence Young, Lewis Gilbert
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 67.7 / 789.4 ล้านเหรียญฯ
A BRIDGE TO FAR (1977)
หลังพ้นจากหนังชุด James Bond (นับที่ภาคสุดท้ายของ Eon Production ในปี 1971) Connery ก็เริ่มเข้าสู่หนังเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นหนังฮิตระดับปานกลาง ทั้ง Murder on the Orient Express (1974) จากนิยายดังของ Agatha Christie ที่มีการรีเมกไปแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน, The Man Who Would Be King (1975) แต่เรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างมากก็คือ A Bridge to Far ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการระดมทีมนักแสดงคุณภาพซึ่งยังเป็นวัยหนุ่มกันอยู่ในเวลานั้น ทั้ง Robert Redford, Anthony Hopkins, Laurence Olivier, Michael Caine และ Gene Hackman เรียกว่าเป็นนักแสดงที่ได้รางวัลออสการ์แล้วครบทุกคน (รวม Connery ด้วย)
A Bridge to Far เล่าเรื่องของปฏิบัติการ Market Garden ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่สัมพันธมิตรประสบความสำเร็จในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ในเดือนมิถุนายน 1944 และรุกคืบเข้าปลดปล่อยฝรั่งเศสได้เป็นที่เรียบร้อย แต่ปัญหาที่ตามมาคือเส้นทางส่งกำลังบำรุงที่ยาวขึ้น ความขัดแย้งระหว่างนายพลคนสำคัญสองนายคือ Montgomery ที่นำทัพอยู่ทางเหนือ และนายพล Patton ที่คุมกำลังทางใต้ และความปรารถนาที่หาทางเผด็จศึกโดยเร็วเพื่อให้ทหารได้กลับบ้านทันวันคริสมาสต์ ในเดือนกันยายน 1944 ทำให้นายพล Montgomery หารือกับนายพล Eisenhower เพื่อเปิดฉากการรุกเข้าไปในฮอลแลนด์ซึ่งต้องผ่านสะพานที่มาของชื่อเรื่อง
สะพานดังกล่าวยาวแค่ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือมันก็คือแสนไกล เมื่อทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายเยอรมันต่างทุ่มเทกำลังพลสู่สนามรบเพื่อรักษาสะพานเอาไว้จนมีทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายอย่างมากมาย หนังสร้างมาจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ขายดีที่เขียนโดย Cornelius Ryan นักเขียนชื่อดังของอังกฤษในยุคนั้น Sean Connery รับบทเป็น นายพล Roy Urquhart ทหารอังกฤษจากหน่วยการบินที่มีชื่อเสียงมากจากปฏิบัติการนี้ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง

- นักแสดงคนอื่น: Robert Redford, Anthony Hopkins, Laurence Olivier, Michael Caine, Gene Hackman
- ผู้กำกับ: Richard Attenborough (Gandhi, Shadowlands, Chaplin)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 27 / 50 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 64% / 7.4/10
THE UNTOUCHABLES (1987)
ช่วงต้นยุค 80s นั้น Connery มีผลงานแสดงอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ฮิตเปรี้ยงปร้าง ทั้ง Outland (1981) ของผู้กำกับ Peter Hyams, Time Bandits (1981) ของผู้กำกับสุดแนว Terry Gilliam และ Highlander (1986) ที่มีภาค 2 ตามออกมาอย่าง Highlander II: The Quickening (1991) ซึ่ง Connery ก็กลับมาแสดงด้วย แต่ภาพยนตร์ที่เป็นความสำเร็จในการเล่นหนังคุณภาพก็คือ การมารับบท Jim Malone ในหนัง The Untouchables ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายไปครอง (และเป็นออสการ์ตัวเดียวของเขา) นอกจากนั้นก็ยังชนะรางวัลลูกโลกทองคำด้วย
The Untouchables เล่าเรื่องการต่อสู้ของตำรวจกลุ่มหนึ่งกับเจ้าพ่อมาเฟียผู้ครองเมืองชิคาโกนามว่า Al Capone (Robert De Niro) เขาท้าทายบ้านเมืองในยุคห้ามค้าขายสุราอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งจึงรวมตัวกันเพื่อโค่นล้มผู้ไม่มีใครกล้าแตะต้องให้ได้ นำทีมแสดงโดย Jim Malone (Sean Connery), Eliot Ness (Kevin Costner) และ George Stone (Andy Garcia) หนังสะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพนายตำรวจกลุ่มนี้ที่อุทิศตนเพื่อทำหน้าที่ต่อสู้กับอิทธิพลมืด ซึ่งแน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยชีวิตของตัวเองและครอบครัวผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเขาด้วย (ชมได้แล้วบน Netflix)

- นักแสดงคนอื่น: Kevin Costner, Robert De Niro, Andy Garcia, Patricia Clarkson
- ผู้กำกับ: Brian De Palma (Mission Impossible, Mission to Mars, Scarface, Carrie)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 25 / 76 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 82% / 7.9/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Sean Connery)
- เข้าชิง 3 สาขา (องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)