หลายครั้งภาพจินตนาการของศิลปินผู้สร้างหนังที่มองโลกอนาคตไว้ก็ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวเป็นหนังดังที่เราโปรดปรานมากมาย อย่าง ‘Back to the Future Part II’ ที่ฉายในปี 1989 แต่ก็ทำให้ผู้ชมฝันถึงโลกอันศิวิไลซ์ในปี 2015 อย่างน่าตื่นเต้น เช่นเดียวกับหนังชั้นครูอย่าง ‘2001: A Space Odyssey’ ที่ทำนายเหตุการณ์เดินทางข้ามดวงดาวในปี 2001 แม้จะสร้างและออกฉายก่อนหน้านานถึง 33 ปีก็ตาม

จึงน่าสนใจว่าโลกภาพยนตร์โดยเฉพาะฝั่งฮอลลีวูดนั้นทำนายทายทักโลกในปี 2023 ไว้อย่างไรบ้าง ซึ่งเราได้รวบรวมมาดังนี้

มีนาคม ใน The Purge: Anarchy

เรื่องราวของหนังภาค 2 จากแฟรนไชส์ ‘The Purge‘ (2013) เล่าถึงคืนวันที่ 21 มีนาคม 2023 เมื่อคืนล้างบาปที่รัฐบาลปล่อยให้ผู้คนก่ออาชญากรรมได้อย่างถูกกฎหมายดำเนินมาถึงปีที่ 6 แต่รถของคู่รักคู่หนึ่งในลอสแองเจลิสเกิดพังขึ้นมาในช่วงที่ทุกคนออกไล่ล่าคร่าชีวิตพอดิบพอดี ขณะที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุน พวกเขาก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังหาทางแก้แค้นฆาตกรที่ฆ่าลูกชายของเขา และยังได้พบกับคู่แม่ลูกที่ต้องหนีออกจากบ้านเพราะถูกพวกหัวรุนแรงโจมตีจนทั้งหมดต้องเกาะกลุ่มกันเอาตัวรอด

The Purge: Anarchy

ไอเดียที่ก่อให้กำเนิดแฟรนไชส์นี้ในปี 2013 ก็มาจากเหตุการณ์คล้ายกับที่คู่รักตัวเอกในหนังภาค 2 ได้เจอเช่นกัน เมื่อวันหนึ่งผู้กำกับ เจมส์ เดอโมนาโค (James DeMonaco) ได้ขับรถไปในเมืองบรูคลินกับภรรยาของเขา แล้วเกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้นบนท้องถนน คนเมาขับรถมาชนจนมีการชกต่อยทะเลาะวิวาทกันจนตำรวจต้องเข้ามาแยก และภรรยาของเดอโมนาโคก็เปรยออกมาว่าถ้าในปีหนึ่งเขาอนุญาตให้ต่อยกันได้อิสระสักหนึ่งวันก็ดีสิ จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดหนังอีกหลายภาคตามมา

The Purge: Anarchy

จินตนาการของผู้กำกับเดอโมนาโคถือว่ายังคงแจ่มชัดสดใหม่และน่าสนใจในช่วง 1-2 ภาคแรกก่อนจะออกทะเลไกลในช่วงหลังของแฟรนไชส์ ในภาคต่อนี้ได้ขยายความออกจากหมู่บ้านผู้มีอันจะกินในภาคแรกมาเห็นความโกลาหลกลางเมืองใหญ่ และสะท้อนภาพของสังคมที่พังทลายทางศีลธรรม ความแตกหักของเชื้อชาติและชนชั้น รวมถึงความสีเทาของคืนล้างบาปที่ถูกนำมาใช้ทวงคืนความยุติธรรมที่กฎหมายปกติไม่ครอบคลุมได้อย่างน่าสนใจ และที่สำคัญมันดูสมจริงจนน่าจะเกิดขึ้นสักมุมหนึ่งในโลกความจริงของปี 2023 นี้ได้เลยกับการจลาจลและสงครามกลางเมืองที่เกิดจากความอยุติธรรมของกฎหมาย

สิงหาคม ใน Texas Chainsaw Massacre

วันที่ 18 สิงหาคม 1973 ได้เกิดตำนานสังหารหมู่ของฆาตกรหน้ากากหนังมนุษย์ หรือ เลเธอร์เฟซ (Leatherface) ขึ้นจนกลายเป็น สิงหาสับ ในหนัง ‘The Texas Chain Saw Massacre’ (1974) และในการกลับมาอีกครั้งทางเน็ตฟลิกซ์ที่เหมือนจะเป็นการรีบูตกลาย ๆ หนัง ‘Texas Chain Saw Massacre’ (2022) ก็ได้เล่าเรื่องราวในอีก 50 ปีต่อมา อิงตามคำพูดของตัวละครแซลลีที่รอดชีวิตมาได้ในปี 1973 ว่าเธอรอล้างแค้นมา 50 ปีเต็ม

ก็เท่ากับว่าเหตุการณ์ในหนังน่าจะเกิดราวช่วงเดือนสิงหาคมปี 2023 ซึ่งอยู่ในช่วงหน้าร้อนของเท็กซัส และเป็นช่วงเดือนที่ยังมีอิทธิพลของพายุฝนเข้ามา ตามเนื้อเรื่องที่มีฝนตกหนักในตอนกลางคืนด้วย

Texas Chainsaw Massacre

เรื่องราวที่เกิดคือกลุ่มวัยรุ่นไฮโซกลุ่มหนึ่งกว้านซื้อเมืองกลางทะเลทรายเพื่อนำมาประมูลต่อ ทว่าบ้านหลังหนึ่งในเมืองนี้กลับยังมีคนอาศัยอยู่ ที่สำคัญมันยังเป็นบ้านของชายร่างยักษ์วัย 60 กว่าปีที่หน้าตาอัปลักษณ์ด้วย จากความพยายามไล่ที่ของพวกวัยรุ่นนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมสังหารหมู่เพื่อล้างแค้นของเลเธอร์เฟซอีกครั้งหนึ่ง

Texas Chainsaw Massacre

จากจินตนาการของผู้กำกับ เฟเด อัลวาเรซ (Fede Alvarez) ที่เคยทำ ‘Don’t Breathe’ (2016) ได้วางโครงเรื่องแล้วส่งไม้ต่อให้ผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง เดวิด บลู การ์เซีย (David Blue Garcia) ได้ทำเรื่องนี้ออกมา โดยวาดภาพว่าคนรุ่นใหม่กลายเป็นพวกอายุน้อยร้อยล้านมากขึ้น แต่ด้วยความหุนหันพลันแล่นขาดความรอบคอบก็อาจอุปมาว่าไปก่อให้เกิดเรื่องราวเลวร้ายตามมาแบบในหนังได้เช่นกัน

ตุลาคม ใน Avengers: Endgame

จากการอ้างอิงในหนัง ‘Spider-Man: Far From Home’ (2019) ที่ดำเนินเรื่องราวในปี 2024 มีสรุปข่าวสิ้นปีการศึกษาของโรงเรียนโดยระบุว่าผู้คนที่หายไปจากการดีดนิ้วของธานอสในช่วงเดือนพฤษภาคม 2018 ได้กลับคืนมาเมื่อ 8 เดือนก่อน ซึ่งตามปกติโรงเรียนในสหรัฐฯ จะจบปีการศึกษาในช่วงเดือนมิถุนายน ดังนั้นอนุมานได้ว่าวันที่ฮัลก์ได้ดีดนิ้วเพื่อพาทุกคนที่เคยสลายไปเมื่อ 5 ปีก่อนกลับมา และในวันเดียวกัน โทนี่ สตาร์ก ได้ดีดนิ้วเพื่อเอาชนะธานอสสำเร็จ ทั้งหมดจึงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมของปี 2023 นั่นเอง

Avengers: Endgame

มีแฟนมาร์เวลได้พยายามหาวันที่แน่นอนของศึกวันตัดสินดังกล่าวระหว่างกลุ่มพันธมิตรอเวนเจอร์สกับกองทัพธานอส โดยอิงจากวันที่ฮัลก์ดีดนิ้วพาทุกคนกลับมาสำเร็จว่าเกิดขึ้นราว 11 วันก่อนที่จะเป็นคืนเทศกาลฉลองการกลับมาของผู้คนในวาคานด้า ซึ่งปรากฏว่าเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อดูปฏิทินแล้วคืนวันเพ็ญตรงกับวันที่ 28 ตุลาคม 2023

Avengers: Endgame

เท่ากับว่าวันที่ธานอสแพ้และสตาร์กตายน่าจะตรงกับวันที่ 17 ตุลาคม 2023 โดยเมื่อไล่วันไปก็จะอนุมานว่าพิธีศพของสตาร์ก รวมถึงภาพโฮโลแกรมที่สตาร์กบอกรัก 3000 ก็จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม 2023 และทำให้เหตุการณ์จุดเริ่มต้นในการบอกรัก 3000 ที่มอร์แกนบอกกับพ่อของเธอตอนสตาร์กพาเธอเข้านอนจึงจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 ตุลาคม 2023 นั่นเอง แต่ทั้งนี้ต้องย้ำว่าเป็นเพียงข้อมูลที่แฟนมาร์เวลคาดการณ์เท่านั้นไม่ใช่ข้อมูลทางการที่มีการประกาศออกมาจากค่ายหนัง

ก็นับว่าเดือนตุลาคมปีนี้ไม่ว่าจะวันที่เท่าใดก็ตาม แต่ก็จะมีเหตุการณ์ใหญ่สำหรับแฟนมาร์เวลเกิดขึ้นให้ได้รำลึกถึงอย่างแน่นอน และอีกแง่หนึ่งค่ายมาร์เวลและสองพี่น้องรุสโซผู้กำกับหนัง ‘Avengers: Endgame‘ (2019) ก็คาดเดาอนาคตไว้ได้อย่างมีความหวังมากว่า ปีนี้เป็นปีที่แม้ผู้คนจะรวดร้าวจากหลายปีที่ผ่านมา แต่ผู้คนจะกลับคืนมาและรวมพลังกันต่อสู้ศึกใหญ่เพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ร่วมกันได้ อุปมาได้ทั้งเรื่องสงครามและเรื่องโรคระบาดเลยทีเดียว

Avengers: Endgame
(แถม) พฤศจิกายน ใน WandaVision

และแถมอีกนิดว่าในเดือนพฤศจิกายน 2023 ก็จะเกิดเรื่องราวในซีรีส์ ‘WandaVision’ (2021) ที่แวนดาหนีความจริงจากการสูญเสียคนรักและสร้างโลกปลอม ๆ ของเธอขึ้นมา แฟนมาร์เวลประเมินไว้ว่าแวนดาได้เริ่มสร้างโลกความฝันในวันที่ 5 พฤศจิกายนและจบศึกสุดท้ายตามซีรีส์ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023

อนุมานว่าอาจเป็นการทำนายถึงปลายปีนี้ที่ความก้าวหน้าในเรื่องของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงกับเอไอที่มีความคิดเสมือนบุคคลจริง อาจจะพัฒนาจนกลายเป็นสถานที่ที่คนเลือกหนีความจริงของโลกที่วุ่นวายไปอยู่ในนั้นก็ได้ ก็ลองจับตาดูกันต่อไป

WandaVision
(แถม) ธันวาคม ใน Eternals

จริงแล้วเรื่องราวส่วนใหญ่ในศึก 12 วันก่อนสิ้นโลกของหนังได้ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่บทสรุปและศึกตัดสินที่เหล่าอีเทอนอลส์จะสะกดเซเลสเทียลยักษ์นามว่า เทียมัต ที่กำลังจะตื่นขึ้นใจกลางโลก (จากข้อมูลโดยผู้ดูแลด้านวิชวลเอฟเฟกต์ของหนังได้ประเมินไว้ว่าเทียมัตน่าจะมีส่วนสูงถึง 500 กิโลเมตรเลยทีเดียว) เหล่าแฟนมาร์เวลได้ประเมินไว้ว่าจะตรงกับวันที่ 3 ธันวาคมพอดิบพอดี

อุปมาของหนัง ‘Eternals’ (2021) นั้นก็ต้องบอกว่าสะท้อนเรื่องราวของปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือผลกระทบระดับมหภาคที่มีต่อโลกอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าปีนี้ผลกระทบอาจแสดงออกมาชัดเจนขึ้นเหมือนเทียมัตที่คนทั้งโลกเห็นอยู่ทนโท่แต่ไม่ยอมทำหรือทำอะไรไม่ได้ก็เป็นได้

eternals

จริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าปี 2023 ในจักรวาลหนังของมาร์เวลนั้นมีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะมากไม่ได้มีแค่หนังและซีรีส์อย่างที่เรายกมา เพราะผลกระทบหลังศึกธานอสและการจากไปของสตาร์กนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงไปยังตัวละครอื่น ๆ อีกมากทีเดียว

ธันวาคม ใน The Tomorrow War

เรื่องราวในหนัง ‘The Tomorrow War’ (2021) ได้ระบุชัดเจนว่าในคืนวันคริสต์มาสปี 2022 มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบชิงที่กาตาร์ที่มีบราซิลลงเตะ และได้มีทหารจากอนาคตโผล่ขึ้นกลางสนามฟุตบอลประกาศว่ามนุษยชาติในปี 2048 กำลังพ่ายแพ้ให้กับกองกำลังสัตว์ต่างดาวจำเป็นต้องขอเกณฑ์คนในยุคปัจจุบันไปเป็นทหารผ่านการเดินทางข้ามกาลเวลา

จากนั้น 12 เดือนถัดมาข่าวทางโทรทัศน์ได้ระบุว่ามนุษยชาติได้ส่งกำลังพลไปยังอนาคตแต่ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก และช่วงนี้เองที่พระเอกของเราที่แสดงนำโดย คริส แพรตต์ (Chris Pratt) ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นแนวหน้าพอดีในช่วงเดือนธันวาคม 2023

The Tomorrow War

นับเป็นช่วงสิ้นปีที่ผู้กำกับ คริส แมกเคย์ (Chris McKay) จากหนัง ‘The Lego Batman Movie’ (2017) เดาไว้ว่ามนุษยชาติน่าจะได้เจอข่าวใหญ่ที่ทำให้ทั้งโลกต้องร่วมมือกันสู้เพื่ออนาคตของลูกหลาน ที่อุปมาไปได้ทั้งภัยธรรมชาติ โลกร้อน โรคระบาด จนถึงสงครามเลยทีเดียว ตามที่ในหนังระบุว่าสัตว์ต่างดาวเริ่มหลุดจากการแช่แข็งได้เพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น จะว่าเป็นบทปรามหรือให้ข้อคิดกับคนรุ่นปัจจุบันก็ได้ว่าอย่าสร้างภาระให้ลูกหลานในอนาคตเลย เริ่มต้นแก้ไขปัญหาของโลกที่ปัจจุบันกันดีกว่า

The Tomorrow War

แต่อย่างน้อยก็สบายใจได้อย่างว่าคงไม่มีเรื่องราวตามหนังเกิดขึ้นแน่ เพราะฟุตบอลโลกจบไปแล้วและคู่ชิงก็ไม่ใช่บราซิลด้วย (ฮา)

the tomorrow war

สักช่วงเวลาหนึ่งใน X-Men: Days Of Future Past

เรื่องราวใน ‘X-Men: Days Of Future Past‘ (2014) ของผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ (Bryan Singer) เล่าถึงเหตุการณ์ในปี 2023 เมื่อเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มสุดท้ายที่นำโดย คิตตี้ ไพรด์ กำลังพ่ายให้กับหุ่นสังหารเซนติเนลที่พัฒนาขึ้นจากเซลล์กลายพันธุ์ของเรเวน (หรือมิสทีค) ที่ถูกจับไปทดลองหลังจากเธอลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างโครงการจักรกลนักฆ่าในปี 1973

ทำให้ในปี 2023 เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลายแทบสูญพันธุ์ ความหวังเดียวคือการให้ไพรด์ส่งจิตของวูล์ฟเวอรีนย้อนเวลากลับไปในปี 1973 เพื่อยับยั้งเรเวนไม่ให้ลอบสังหารครั้งนั้นสำเร็จเพื่อแก้ไขเส้นเวลาทั้งหมดจากจุดเริ่มต้น

X-Men: Days Of Future Past

จากหนังเรื่องนี้ทำให้เกิดปี 2023 ขึ้นมา 2 แบบ คือมนุษย์กลายพันธุ์กำลังสูญพันธุ์ มนุษย์ที่เข้าข้างพวกกลายพันธุ์ก็ถูกกำจัดกวาดต้อน แต่เมื่อวูล์ฟเวอรีนไปแก้ไขอดีตแล้วก็ทำให้เวลาเดินไปตามเส้นเรื่องที่เกิดขึ้นในหนังภาคต่ออย่าง ‘X-Men: Apocalypse’ (2016) ที่เราได้ดูกัน

กับอีกเส้นเวลาหนึ่งปี 2023 กลายเป็นโลกที่สงบสุขของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ตามที่จิตของวูล์ฟเวอรีนได้กลับคืนมาในท้ายเรื่อง ‘X-Men: Days Of Future Past‘ นั่นเอง ตัวหนังอาจทำนายไว้ว่าหากมนุษย์ไม่ปล่อยวางความแค้นความเกลียดชัง รวมถึงเลือกการแก้ไขปัญหาด้วยกำลังก็จะนำพาหายนะมาสู่ทุกสิ่งอย่างในที่สุดอยู่ดี

X-Men: Days Of Future Past

สักช่วงเวลาหนึ่งใน Don’t Breathe 2

ตามคำให้สัมภาษณ์ของผู้กำกับ เฟเด อัลวาเรซ ที่ให้กับสื่อดังอย่าง Forbes ระบุชัดเจนว่าเรื่องราวในภาค 2 ของชายแก่ตาบอดยอดมนุษย์ที่แสดงโดย สตีเฟน แลง (Stephen Lang) เกิดขึ้นในปี 2023 หรือให้ชัดคือเหตุการณ์ผ่านไป 8 ปีพอดีนับจากภาคแรก นอร์แมนชายตาบอดอดีตซีลได้เลี้ยงดูเด็กสาวที่รอดจากไฟไหม้บ้านและฝึกให้เธอเอาตัวรอด โดยอาศัยอยู่ในเขตหมู่บ้านร้างที่ห่างไกลชุมชนเมือง จนกระทั่งมีเหตุที่กลุ่มอันธพาลต้องการตัวเด็กหญิงและเริ่มไล่ล่านอร์แมนด้วย

ปี 2023 ในจินตภาพของอัลวาเรซไม่ได้ต่างจากโลกปัจจุบันนัก แต่ก็ยังมีกลิ่นความดิบและไร้กฎหมาย คนก่ออาชญากรรมอย่างไร้ผู้มาควบคุมความสงบ สภาพความล่มสลายของชุมชนสะท้อนผ่านบ้านเรือนที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งก็มีให้เห็นได้ในหลายเมืองบนโลกตอนนี้ และยิ่งถูกเน้นย้ำให้เห็นช่องว่างความต่างของเขตที่เจริญและเขตที่ถูกทอดทิ้งอย่างชัดเจนมากขึ้น อัลวาเรซอาจชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นเก่าต้องส่งความรู้ทักษะในการเอาตัวรอดให้คนรุ่นใหม่เพื่อให้อยู่รอดในสังคมโลกที่วุ่นวายมากขึ้นก็ได้ ซึ่งทัศนคตินี้ก็พบเห็นได้ในพ่อแม่ยุคปัจจุบัน หรือคู่รักที่แต่งงานแต่เลือกที่จะไม่มีลูกเพราะไม่แน่ใจในอนาคตด้วยเช่นกัน

Don’t Breathe 2

แถมสุดท้าย ปลายปี 2023 ใน Thor: Love and Thunder

อาจไม่ใช่ข้อมูลที่ระบุได้ระดับวันหรือเดือน แต่จากการตัดต่อข้ามเวลาแบบไว ๆ นับจากธอร์ขึ้นยานไปกับกลุ่มการ์เดียนส์ออฟเดอะกาแล็กซีไปในเดือนตุลาคม 2023 หลังจบศึกกับธานอส จนถึงศึกเปิดตัวสตรอมเบรกเกอร์ในเดือนพฤษภาคม 2024 เมื่อแฟนมาร์เวลนำมาพิจารณาหั่นเวลาฉากทั้งหลายให้เวลาเท่า ๆ กันแล้วก็พออนุมานได้ว่า ก่อนสิ้นปี 2023 คือช่วงที่ธอร์เริ่มออกกำลังกายจากหุ่นอ้วนกลับมาฟิตเปรี๊ยะนั่นเอง (เอาเป๊ะ ๆ ตามที่แฟนมาร์เวลคาดการณ์คือ 27 ธันวาคม 2023) ใครจะถือเป็นแรงบันดาลใจก็ออกกำลังกายกันตั้งแต่ตอนนี้ได้เลยไม่ต้องรอปลายปีนี้หรอกนะ

Thor: Love and Thunder

สรุป

น่าสนใจว่าปี 2023 ในหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องนั้น ต่างมองออกไปในทางดิสโทเปียหรือจินตภาพโลกอนาคตที่วุ่นวายสับสนโกลาหลและมีแต่ปัญหา และต่างมองต้นตอของปัญหามาจากเรื่องความอยุติธรรมในสังคม ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนหรืออุดมการณ์จนเกิดเป็นอาชญากรรมและสงครามประเภทต่าง ๆ ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและปัญหาระดับโลก แต่ก็ยังทิ้งเชื้อแห่งความหวังไว้ว่ามันยังมีอนาคตที่ดีกว่านี้ได้หากเราแก้ไขปัจจุบันให้มันถูกต้องด้วยคนในรุ่นเรานี้เอง ไม่เริ่มที่เราแล้วจะเริ่มที่อนาคตเมื่อไรกัน เพราะที่สุดแล้วเราน่าจะยังไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้อดีตได้ในปีนี้หรอกนะ

ที่มา screenrant, mcufandom, forbes

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส