LINE ผู้นำด้านแพลตฟอร์มในประเทศไทย ตอกย้ำโซลูชั่น LINE Business Connect ว่าเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เผยปัจจุบันธุรกิจให้ความสำคัญเกี่ยวกับ Data และการจัดการข้อมูล (Data Management) เป็นอย่างมาก ทำให้ LINE Business Connect เป็นโซลูชั่นที่ธุรกิจเลือกใช้เพิ่มมากขึ้น โดยยกตัวอย่างแอคเคาท์ที่ใช้ LINE Business Connect ได้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุดอย่าง SCB​ Connect ที่สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างธนาคารกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด

เราต้องขอยกให้ SCB Connect เป็นแอคเคาท์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างตรงความต้องการเนื่องจาก SCB Connect เป็นแอคเคาท์ที่มี Block Rate ที่ต่ำที่สุดในตลาดหลังจากเปิดให้บริการมา 1 ปีโดยปัจจุบันมียอดผู้ใช้มากกว่า 2 ล้านคน ทางเราจึงอยากที่จะชู SCB Connect ให้เป็นเคสตัวอย่างที่สามารถนำโซลูชั่น LINE Business Connect มาใช้กับ Data และการจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง

คุณนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและสื่อโฆษณา LINE ประเทศไทย เผยว่า “ลูกค้าของทาง LINE ที่ใช้ LINE เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและเครื่องมือทางการตลาดหันมาสนใจและให้ความสำคัญเกี่ยวกับ Data ที่ตัวเองมีอยู่มากขึ้น และต้องการเครื่องมือที่สามารถเข้าถึง Data ของตัวเองได้โดยนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกค้าธุรกิจของ LINE ใช้ LINE Corporate Solution ที่เรียกว่า Business Connect (หรือ BC) เติบโตถึง 5 เท่าจากต้นปี 2560 หลังเปิดตัว อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันลูกค้าของ LINE ที่ใช้ LINE Business Connect (หรือ BC) มีอยู่ 34 เปอร์เซ็นต์ ของลูกค้าทั้งหมด โดยปัจจุบันธุรกิจที่ใช้ BC มากที่สุด คือ กลุ่มธุรกิจขายปลีก , กลุ่ม FMCG และ กลุ่มธนาคารและการเงิน และเรายังคาดว่าในปลายปี 2561 ธุรกิจในกลุ่มธนาคารและการเงินจะเติมโตและหันมาใช้เพิ่มขึ้นมากสุด ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่ม ตามด้วยกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม และกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร”

คุณธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยพาณิชย์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า (Customer Experience Platform) ผ่าน Touchpoint ต่าง ๆ ของธนาคารทั้งนี้ ธนาคารมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำตัวเองเข้าไปอยู่ในทุก ๆ ที่ ทุก ๆ แพลตฟอร์มที่ลูกค้าอยู่ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้าในยุคดิจิทัล หลังจากที่ธนาคารได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มของตัวเองผ่านทาง SCB EASY แล้ว

จากนี้ไปธนาคารจะให้ความสำคัญในการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ร่วมกัน ซึ่งโซเชียลแพลตฟอร์มนับเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มใหญ่ที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LINE ที่ร้อยละ 95 ของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในประเทศไทยให้ความนิยมสูงสุดในการใช้เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับ LINE ในการนำโซลูชั่น Business Connect มาใช้เป็นธนาคารแรก และพัฒนาร่วมกันเพื่อเป็นช่องทางใหม่ในการให้บริการแจ้งเตือนทุกความเคลื่อนไหวของบัญชีทั้งบัญชีเงินฝากและบัตรเครดิต ทุกรายรับ รายจ่าย ตั้งแต่บาทแรก ฟรีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น ผ่าน SCB Connect บน LINE แพลตฟอร์ม ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีมียอดผู้ใช้งานกว่า 2.2 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน มีอัตราการเติบโตสูงถึง 344% นับจากขยายการให้บริการด้านบัญชีเงินฝากเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ที่สำคัญมีอัตรา Block rate ที่ต่ำมากน้อยกว่า 10% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริการนี้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มร้านค้าและมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการรู้ทุกความเคลื่อนไหวเวลามีเงินเข้าออกบัญชีตั้งแต่บาทแรก ซึ่งเมื่อก่อนเรามีบริการแจ้งเตือนผ่าน SMS แต่ก็ต้องมียอดเคลื่อนไหวขั้นต่ำ 500 บาทขึ้นไปจึงจะแจ้งเตือน ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มียอดการทำธุรกรรมต่อครั้งจำนวนไม่สูง ดังนั้น SCB Connect จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหรือ Pain point ของลูกค้าได้ตรงจุด ธนาคารคาดหวังว่าความร่วมมือกับ LINE ในครั้งนี้จะทำให้ธนาคารสามารถยกระดับการให้บริการสู่การเป็น “Social Banking Platform” ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ”

ดการข้อมูลบัญชีเงินฝาก และ การจัดการข้อมูลบัตรเครดิต ตามลำดับ โดยในเฟสถัดไปธนาคารได้เตรียมพร้อมพัฒนาขีดความสามารถของ SCB Connect ด้วยการขยายบริการให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ อาทิ บริการด้านสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล ที่ให้ลูกค้าสามารถผูกบัญชีสินเชื่อบน SCB Connect เพื่อสอบถามยอดและรับการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดชำระ

นอกจากนี้ยังเตรียมฟีเจอร์ใหม่ สร้างบาร์โค้ดเพื่อชำระเงิน (Barcode Generator) โดยที่ลูกค้าไม่ต้องนำ Statement ตัวจริงไปชำระ ณ จุดรับชำระอีกต่อไป รวมถึงการนำเทคโนโลยี Natural-language processing (NLP) มาใช้เป็นครั้งแรกเพื่อคุยกับลูกค้าได้พร้อมกันหลายคนแบบเรียลไทม์ด้วยภาษาสนทนาทั่วไป สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่มักหาข้อมูลและจัดการเรื่องต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ด้วยตัวเอง นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของธนาคารในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยี NLP มาใช้ในการให้บริการลูกค้าอีกด้วย”