Indiana Jones and the Dial of Destiny จะพาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ในภาคนี้นักโบราณคดีของเราจะพบว่าตัวเองต้องอยู่ท่ามกลางการแข่งขันกันเพื่อท่องอวกาศ โจนส์ไม่สบายใจเมื่อรู้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้เลือกเอาอดีตนาซีมาช่วยในโครงการท่องอวกาศเพื่อแข่งกับสหภาพโซเวียต งานนี้ทำให้โจนส์ต้องร่วมมือกับลูกทูนหัวของเขา ต่อสู้กับ เจอร์เกน โวลเลอร์ อดีตนาซีที่ทำงานกับองค์การนาซา ผู้มีแผนการอยากให้โลกนี้ดีขึ้นแต่เป็นในแบบของเขา
เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) รับหน้าทีกำกับและพ่วงหน้าที่เขียนบทร่วมกับ เจซ บัตเทอร์เวิร์ธ และ โดวิด โคปป์ Indiana Jones and the Dial of Destiny จะมีนักแสดงสมทบมากมายทั้ง ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์, อันโทนิโอ แบนเดราส, โชนเน็ตต์ เรเน วิลสัน, โธมัส เคร็ตชมันน์ , โทบี้ โจนส์, บอยด์ โฮลบรูค, อีธาน อิซิดอร์ แล แมดส์ มิคเคลเซน
จากที่ แคทลีน เคนเนดี เกริ่นไว้ว่าเธออาจจะเตรียมการถึงหนังและซีรีส์เรื่องต่อไปในแฟรนไชส์นี้ แต่ถึงตอนนี้ เคนเนดีอาจจะต้องทบทวนอีกครั้ง เพราะว่าหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny ได้รับเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ไม่สู้ดีนัก ได้คะแนนมะเขือเน่าจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 50% หลายความเห็นพ้องต้องกันว่า “แม้ว่าจะทำให้ได้รู้สึกหวนถึงอดีตกับการได้เห็น แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทแอ็กชันอีกครั้ง แต่ Indiana Jones and the Dial of Destiny ก็เป็นภาคปิดฉากที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้”