ในโลกที่หมุนไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง การพัฒนาเมืองกลายเป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตึกระฟ้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ถนนหนทางขยับขยาย สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยเข้ามาแทนที่ความเรียบง่าย แต่ในทุกการเปลี่ยนแปลงที่ถูกประดับด้วยคำว่า ความก้าวหน้า การพัฒนา หรือความสวยงาม นั้น มีบางสิ่งกำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง…หรือบางทีอาจถูกผลักไสออกไปอย่างเงียบ ๆ

คำว่า “Gentrification” หรือการทำให้เมืองเป็นย่านผู้ดี การแปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น อาจฟังดูเป็นศัพท์วิชาการที่ไกลตัว แต่แท้จริงแล้วมันคือปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นตรอกซอกซอยเก่าแก่ที่เคยเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของคนท้องถิ่น ตลาดนัดริมคลองที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปทั่ว หรือแม้แต่บ้านเรือนไม้เก่าที่ยืนหยัดมานานหลายสิบปี ทุกอย่างกำลังถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นร้านกาแฟเก๋ ๆ อาร์ตแกลเลอรีสุดฮิป คอนโดมิเนียมหรู หรือโรงแรมบูติก ที่พร้อมต้อนรับคนใหม่ที่มีกำลังซื้อมากกว่า และรสนิยมที่แตกต่างออกไป

แต่คำถามคือ เมื่อพื้นที่ถูกอัปเกรดขึ้น ราคาที่ดินพุ่งสูง ค่าเช่าแพงลิบลิ่ว แล้วคนดั้งเดิมที่สร้างชีวิต สร้างวัฒนธรรมให้พื้นที่นั้น ๆ ล่ะ พวกเขาไปอยู่ที่ไหน ? พวกเขามีทางเลือกอะไรบ้าง ? และในท้ายที่สุด เรากำลังอนุรักษ์วิญญาณของพื้นที่หรือเพียงแค่จัดฉากความทรงจำให้เป็นสินค้าที่น่าสนใจสำหรับคนนอก ?

ทำความรู้จัก Gentrification การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนกว่าที่คิด

Gentrification ไม่ใช่แค่การที่พื้นที่โทรม ๆ กลายเป็นพื้นที่สวยงามขึ้น แต่มันคือกระบวนการทางสังคม-เศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งมักเริ่มต้นจากการที่กลุ่มคนที่มีรายได้สูงกว่า (มักจะเป็นคนชั้นกลางหรือคนชั้นบน) ย้ายเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีค่าครองชีพต่ำ ทำให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนและภาครัฐตามมา เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์ การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ผลลัพธ์คือ

  • ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาที่ดินพุ่งกระฉูด ค่าเช่าแพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้คนท้องถิ่นเดิมที่มีรายได้น้อยไม่สามารถแบกรับภาระได้
  • การพลัดถิ่น คนท้องถิ่นเดิมถูกบีบให้ย้ายออกจากพื้นที่ เพราะค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยสูงเกินไป หรือถูกขับไล่ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้กับการลงทุนใหม่ ๆ
  • การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ร้านค้าดั้งเดิม ร้านอาหารท้องถิ่น หรือกิจการขนาดเล็กที่เคยเป็นหัวใจของชุมชนถูกแทนที่ด้วยร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหารหรู หรือธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนใหม่
  • การสูญเสียอัตลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนดั้งเดิมค่อย ๆ เลือนหายไป หรือถูก “ปรุงแต่ง” ให้กลายเป็นเพียงฉากหลังสำหรับการท่องเที่ยวหรือการบริโภคของคนนอก

แน่นอนว่าในมุมมองของผู้พัฒนาหรือนักลงทุน Gentrification อาจถูกมองว่าเป็น “การฟื้นฟูเมือง” (Urban Revitalization) ที่นำมาซึ่งการลงทุน การสร้างงาน และการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ แต่ในมุมมองของคนท้องถิ่นที่ถูกผลักไสออกจากบ้านเกิด มันคือ “การถูกขับไล่” และ “การสูญเสีย” ที่ไม่อาจประเมินค่าได้

Gentrification ในไทย จากตึกเก่าสู่ ‘ย่านสร้างสรรค์’ ที่มีแต่คนนอก ?

ประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ Gentrification อย่างเข้มข้น ด้วยการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ และการผลักดันนโยบาย “ย่านสร้างสรรค์” หรือ “Creative District” ที่มักเล็งเป้าไปที่พื้นที่เมืองเก่าที่มีเสน่ห์

กรณีศึกษา เจริญกรุง-ตลาดน้อย (กรุงเทพมหานคร) ย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Gentrification ในกรุงเทพฯ แต่เดิมเป็นย่านการค้าเก่าแก่ มีทั้งชุมชนชาวจีนที่อยู่อาศัยมานาน ร้านค้าแบบดั้งเดิม อู่ซ่อมรถ โรงกลึง และวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ด้วยทำเลที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้รถไฟฟ้า และมีอาคารเก่าแก่สวยงาม ทำให้ย่านนี้กลายเป็นเป้าหมายของนักพัฒนาและนักลงทุน

ปัจจุบัน เราจะเห็นร้านกาแฟสุดเก๋ อาร์ตแกลเลอรี โรงแรมบูติก และร้านอาหารฮิป ๆ ผุดขึ้นมาแทนที่อาคารเก่า ๆ และร้านค้าดั้งเดิมมากมาย “บางกะปิ ครีเอทีฟ ดิสทริค” คือโครงการที่เข้ามาผลักดันให้พื้นที่นี้กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะและการออกแบบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดคำถามว่า

  • คนในพื้นที่ได้อะไร ? ชาวบ้านดั้งเดิมที่เคยเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ หลายคนต้องปิดตัวลงเพราะค่าเช่าที่พุ่งสูงลิบลิ่ว หรือไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจสมัยใหม่ได้
  • วัฒนธรรมหายไปไหน ? เสน่ห์ของย่านที่มาจากวิถีชีวิตดั้งเดิม การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชน กับงานหัตถกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น กำลังถูกแทนที่ด้วย “ความสวยงาม” ที่ปรุงแต่งขึ้นเพื่อการท่องเที่ยว
  • ใครคือผู้กำหนดนิยาม “สร้างสรรค์” ? ความสร้างสรรค์ที่เข้ามานั้นตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิยามที่กำหนดโดยคนนอกเพื่อดึงดูดคนนอก ?

กรณีศึกษา ย่านหัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์) หัวหิน เมืองตากอากาศเก่าแก่ ที่แต่เดิมเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของราชวงศ์และชนชั้นสูง ต่อมาก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนไทยทุกระดับชนชั้นเข้าถึงได้ ด้วยเสน่ห์ของตลาดกลางคืน อาหารทะเลสด ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ แต่ปัจจุบัน หัวหินกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการเข้ามาของคอนโดมิเนียมหรู โรงแรมระดับ 5 ดาว และโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่

  • ชาวประมงพื้นบ้านอยู่รอดอย่างไร ? เมื่อราคาที่ดินริมชายหาดพุ่งสูงขึ้น ที่จอดเรือประมงและแหล่งแปรรูปสัตว์น้ำถูกแทนที่ด้วยรีสอร์ตหรู วิถีชีวิตของชาวประมงและคนท้องถิ่นที่เคยผูกพันกับทะเลกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก
  • เสน่ห์ดั้งเดิมยังเหลืออยู่ไหม ? ความเงียบสงบ ความเป็นกันเอง และร้านค้าเล็ก ๆ ที่เคยเป็นเอกลักษณ์ของหัวหิน กำลังถูกกลืนหายไปในกระแสของความทันสมัยและธุรกิจขนาดใหญ่
  • การพัฒนาเพื่อใคร ? การลงทุนที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์นั้น สร้างประโยชน์ให้กับคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง หรือเพียงแค่ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างถิ่น ?

กรณีศึกษา ชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต เมืองเก่าภูเก็ตเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของ Gentrification ที่ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว อาคารชิโน-โปรตุกีสเก่าแก่ได้รับการบูรณะอย่างสวยงาม ถนนถูกปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีร้านค้า คาเฟ และโรงแรมสไตล์บูติกผุดขึ้นมากมาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้มาสัมผัสเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมพื้นถิ่น

  • ความสมดุลระหว่างอนุรักษ์กับการพัฒนา การบูรณะอาคารเก่าแก่เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อมูลค่าที่ดินสูงขึ้น คนท้องถิ่นที่เคยอยู่อาศัยในตึกแถวเหล่านั้นต้องย้ายออกไปเพราะค่าเช่าแพงขึ้น หรือไม่มีเงินทุนเพียงพอในการบูรณะ ทำให้กลายเป็นธุรกิจของคนนอกที่เข้ามาเช่าหรือซื้อเพื่อทำกำไร
  • พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตหรือฉากละคร ? เมื่อชุมชนดั้งเดิมถูกผลักไสออกไป เมืองเก่าที่เคยมีชีวิตชีวาด้วยวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น กำลังกลายเป็นเพียง “ฉาก” ที่สวยงามสำหรับนักท่องเที่ยว ถ่ายรูปเช็กอิน แต่ขาดซึ่ง “จิตวิญญาณ” ของความเป็นชุมชนที่เคยมี

Gentrification ในญี่ปุ่น เมื่อวัฒนธรรมและความทันสมัยปะทะกัน

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ก็ไม่ได้รอดพ้นจากกระแส Gentrification โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวและเกียวโต ที่การท่องเที่ยวและนโยบายพัฒนาเมืองเข้ามามีบทบาทสำคัญ

กรณีศึกษา คิตะเซ็นจู (Kita-Senju), โตเกียว คิตะเซ็นจู เคยเป็นย่านเก่าแก่ทางตอนเหนือของโตเกียวที่มีบรรยากาศแบบโชวะ (ยุค 1926-1989) เต็มไปด้วยร้านค้าเล็ก ๆ ตรอกซอกซอยแคบ ๆ และวิถีชีวิตของคนทำงานชนชั้นกลาง แต่ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ทำให้ย่านนี้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเริ่มมีโครงการคอนโดมิเนียมผุดขึ้น รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ย้ายเข้ามา ทำให้มีนักศึกษาและคนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่อาศัย

  • การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป Gentrification ในคิตะเซ็นจูอาจไม่ได้รุนแรงเท่าในบางพื้นที่ แต่ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านค้าที่เปลี่ยนมือ มีร้านกาแฟและร้านอาหารทันสมัยเข้ามาแทนที่ร้านค้าดั้งเดิม
  • การรักษาเอกลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ภาครัฐและชุมชนก็พยายามรักษากลิ่นอายดั้งเดิมของย่านไว้ เช่น การคงไว้ซึ่งถนนคนเดิน การจัดเทศกาลท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ย่านกลายเป็นเพียงย่านใหม่ที่ไร้อัตลักษณ์

กรณีศึกษา เกียวโต (Kyoto) เกียวโต เมืองหลวงเก่าที่เต็มไปด้วยวัดวาอาราม ศาลเจ้า และบ้านเรือนไม้เก่าแก่ ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่การหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็ส่งผลให้เกิด “Tourism Gentrification” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • บ้านเรือนกลายเป็นที่พัก บ้านเรือนเก่าแก่จำนวนมากถูกแปลงสภาพเป็นโรงแรมขนาดเล็ก (Minpaku) หรือเรียวกัง (Ryokan) ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้จำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับคนท้องถิ่นลดลง และค่าเช่าที่พักพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
  • คนท้องถิ่นถูกผลักไส ชาวเมืองเกียวโตบางส่วน โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้มีรายได้น้อย ไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมได้อีกต่อไป เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความวุ่นวายจากการท่องเที่ยวที่เข้ามา
  • วัฒนธรรมที่กลายเป็นสินค้า เกอิชาที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็กลายเป็นเหมือน “ของเล่น” ที่ต้องออกมาแสดงให้นักท่องเที่ยวชม ภาพของเกียวโตที่เคยสงบงามกำลังถูกทดแทนด้วยภาพของเมืองท่องเที่ยวที่อึกทึก และสูญเสียความเป็นส่วนตัวของคนในพื้นที่

ใครมีสิทธิ์ใน “เมือง” และ “การอนุรักษ์” คืออะไรกันแน่ ?

ปรากฏการณ์ Gentrification จุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับ “สิทธิ์ในเมือง” และ “การอนุรักษ์” ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่คิด

มุมมองจาก “คนพื้นที่” (The Locals) สำหรับคนท้องถิ่นที่อยู่อาศัยมานานหลายสิบปี หรืออาจจะตั้งแต่บรรพบุรุษ พื้นที่นั้น ๆ ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือ “บ้าน” คือ “ชุมชน” คือ “ความทรงจำ” และ “วิถีชีวิต” ที่ถักทอเข้าด้วยกัน พวกเขาอาจจะไม่ได้ต้องการ “ความเจริญ” แบบที่คนนอกนำมาให้เสมอไป เพราะความเจริญนั้นมักมาพร้อมกับการพลัดถิ่นและต้นทุนที่สูงเกินกว่าจะรับไหว

  • “ทำไมต้องย้าย ? นี่บ้านเรานะ !” คำถามง่าย ๆ ที่สะท้อนความรู้สึกของการถูกบังคับให้ละทิ้งรากเหง้า
  • “ความสวยงามนี้ ใครเป็นคนจ่าย ?” ความงดงามที่เห็นอาจหมายถึงการสูญเสียอาชีพ รายได้ และความมั่นคงในชีวิตของคนอีกกลุ่ม
  • “วัฒนธรรมของเราถูกเอาไปขายหรือเปล่า ?” เมื่อวิถีชีวิตกลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ความเป็นของแท้ดั้งเดิมอาจถูกบิดเบือนหรือสูญเสียไปเพื่อตอบสนองการตลาด

มุมมองจาก “คนนอกพื้นที่” ที่อยากอนุรักษ์ (The External Preservationists) คนกลุ่มนี้อาจเป็นนักวิชาการ นักท่องเที่ยว ศิลปิน หรือนักพัฒนาที่มองเห็น “คุณค่า” ของพื้นที่เก่าแก่ และต้องการอนุรักษ์ไว้ แต่บ่อยครั้งมุมมองของพวกเขากลับละเลยมิติทางสังคมและเศรษฐกิจของคนในพื้นที่

  • “พื้นที่นี้มีเสน่ห์ เราต้องอนุรักษ์ไว้ !” แต่การอนุรักษ์นั้นหมายถึงการรักษาสถาปัตยกรรม หรือการรักษาวิถีชีวิตและผู้คนด้วย ?
  • “น่าเสียดายจังที่นี่กำลังจะเปลี่ยนไป !” แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเป็นทางรอดเดียวของคนในพื้นที่ หรือเป็นทางเลือกที่ไม่ได้แย่เสมอไป
  • “ทำไมไม่ดูแลของเก่าให้ดีกว่านี้ ?” คำถามที่อาจไม่ได้เข้าใจถึงข้อจำกัดทางการเงินและโอกาสในการพัฒนาของคนในพื้นที่จริง ๆ

การอนุรักษ์ที่แท้จริงคืออะไร ? คำถามที่สำคัญคือ การอนุรักษ์ที่เราพูดถึงนั้นคืออะไรกันแน่ ? คือการรักษาสภาพทางกายภาพของอาคาร ? คือการรักษาวิถีชีวิตของคนดั้งเดิม ? หรือคือการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนากับการคงอยู่ของวัฒนธรรม ?

  • การอนุรักษ์เชิงกายภาพ (Physical Preservation) มุ่งเน้นการคงสภาพของอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือภูมิทัศน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาสังคมและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ได้
  • การอนุรักษ์เชิงสังคม-วัฒนธรรม (Socio-Cultural Preservation) มุ่งเน้นการรักษาชุมชน วิถีชีวิต และประเพณี ซึ่งอาจต้องใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นกว่าในการพัฒนาทางกายภาพ
  • การอนุรักษ์เพื่อใคร ? เรากำลังอนุรักษ์เพื่อประโยชน์ของคนในพื้นที่ หรือเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเป็นหลัก ?

ทางออกที่เป็นไปได้ ความหวังในการอยู่ร่วมกัน ?

ปรากฏการณ์ Gentrification ไม่ใช่เรื่องที่ขาวหรือดำเสมอไป แต่เป็นพื้นที่สีเทาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส การจะหาทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

  1. การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community Participation) ให้คนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนและตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนา ไม่ใช่แค่ผู้รับผลกระทบ แต่เป็นผู้สร้างอนาคตของชุมชนตัวเอง
  2. นโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อคนท้องถิ่น รัฐบาลควรมีนโยบายที่ปกป้องสิทธิในการอยู่อาศัยของคนท้องถิ่น เช่น การควบคุมค่าเช่า การจัดหาที่อยู่อาศัยราคาถูก หรือการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปรับปรุงบ้านเรือน
  3. การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน (Community Economy) สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กของคนท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ในรูปแบบเดิม ๆ แต่ช่วยต่อยอดให้สามารถแข่งขันในตลาดใหม่ได้ โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์
  4. การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เคารพวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น และกระจายรายได้ที่เป็นธรรมสู่ชุมชน ไม่ใช่แค่การบริโภคพื้นที่อย่างเดียว
  5. การให้ความรู้และความเข้าใจ (Education and Awareness) สร้างความเข้าใจให้กับทั้งคนในพื้นที่และคนนอกเกี่ยวกับความซับซ้อนของ Gentrification เพื่อให้เกิดการมองเห็นคุณค่าที่หลากหลาย และหาทางออกร่วมกัน

Gentrification คือกระจกสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม-เศรษฐกิจ และความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาทางกายภาพกับการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม มันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ “เมือง” ที่เปลี่ยนแปลงไป แต่คือเรื่องของ “คน” ที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตั้งคำถามอย่างจริงจัง ว่าเมืองแบบไหนที่เราอยากเห็น เราอยากให้ใครอยู่ในเมืองนั้น ? และเราจะอนุรักษ์อะไร และอนุรักษ์เพื่อใคร ? การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะสร้างความรุ่งเรืองที่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือจะสร้างอนาคตที่ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างภาคภูมิใจ คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ตึกระฟ้า หรือร้านกาแฟเก๋ ๆ แต่อยู่ที่หัวใจของการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันต่างหาก

เนื้อหาล่าสุด

เกมจาก ‘PainWaive’ ทางเลือกใหม่เพื่อบรรเทาอาการปวดหัวแบบไร้ยา

UNSW พัฒนาเกมเพื่อลดความเจ็บปวดของสมอง 'PainWaive' มุ่งเน้นการรักษาแบบไม่ใช้ยา (drug-free treatment)

[บทความ] อนุรักษ์หรือผลักไส ? Gentrification กับสองมุมมองในเมืองที่เปลี่ยนไป

ในโลกที่หมุนไปข้างหน้าไม่หยุดนิ่ง การพัฒนาเมืองกลายเป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตึกระฟ้าผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ถนนหนทางขยับขยาย สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยเข้ามาแทนที่ความเรียบง่าย ...อ่านต่อ

อีลอน มัสก์ ซัดอีก ! โพสต์บน X กฎหมายทรัมป์น่ารังเกียจ และจะทำให้ประเทศจมอยู่กับหนี้สินไปอีกนาน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ประกาศผ่าน X ว่า เตรียมโบกมือลาตำแหน่ง “พนักงานพิเศษ” ของรัฐบาล แต่โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ก็ได้ออกมาเบรกข่าวลือ ...อ่านต่อ

Status Post

ศึกขนส่งไทย ใครเด่น ใครร่วงในสนามส่งพัสดุ

ธุรกิจขนส่งไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เมื่อผู้เล่นหลักทั้ง 6 ราย ต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาและต้นทุนที่กดดันกำไรอย่างหนัก โดยแต่ละเจ้าต่างก็มีจุดแข็ง จุดอ่อน และผลประกอบการที่แตกต่างกันออกไป

WWDC 2025 : ลือ iOS 26 มีอะไรเด็ดบ้าง ?

งาน WWDC 2025 ที่กำลังจะมาถึงเป็นที่จับตามองมากในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะฟีเจอร์ iOS ที่เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นอกจากชื่อ iOS 26 แล้วมีอะไรเด็ดบ้าง ?

iPhone 16 Pro ขายดีที่สุดในยุโรปเดือนมีนาคม 2025, ตามมาด้วย iPhone 16 Pro Max และ iPhone 16

Counterpoint Research รายงานว่า iPhone 16 Pro และ 16 Pro Max ขึ้นแท่นสมาร์ตโฟนที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในตลาดยุโรป เดือนมีนาคม 2025

Play video
Video
TECH

50 แล้วไง ? เริ่มธุรกิจโซลาร์เซลล์ในวัยเก๋า ช้าไปไหม ? | CEO2CEO X EnergyLIB

[บทความ] ‘สงคราม ส่งด่วน’ : แรงแค้นกลายเป็นแรงขับเคลื่อนความสำเร็จที่ดีจริงหรือ ?

ไวรัลทั่วประเทศสำหรับซีรีส์อันดับ 1 ในไทย ณ เวลานี้ อย่าง ‘สงคราม ส่งด่วน’ กับเนื้อเรื่องที่น่าติดตามโดยการตีแผ่การแข่งขันช่วงชิงเพื่อเป็นที่สุดของวงการขนส่ง ...อ่านต่อ