Best Scenes from 25 Years
Best Scenes from 25 Years

“ที่สุดของฉากหนังดัง” ตลอด 25 ปี ที่ขับเคลื่อนโลกและความทรงจำของผู้คน (ตอนที่ 2)

หากย้อนหลังไป 25 ปี ภาพยนตร์ดังหลายเรื่องก็มีฉากที่น่าตื่นตะลึง วิจิตรตระการตา แปลกใหม่ พาคนดูออกไปสู่โลกทะเลแห่งจิตนาการไม่มีที่สิ้นสุด หลายฉากในหลายเรื่องทรงพลังขนาดขับเคลื่อนโลกและความทรงจำของผู้คน ถูกบอกต่อและมีภาพจำร่วมกันว่าฉากนั้น ๆ เคยมีประสบการณ์ร่วมยุคสมัยกัน สร้างรอยยิ้มและคราบน้ำตาให้กับคนในวัยเดียวกันมาอย่างไร What the Fact เคยนำเสนอตอนที่ 1 ของบทความนี้ไปแล้ว วันนี้ขจะมาขอสานต่อตอนที่ 2 โดยเป็นข้อมูลจากการจัดอันดับโดยนิตยสารด้านภาพยนตร์ชื่อดังของสหรัฐฯ อีกเจ้าหนึ่งอย่าง Vanity Fair

LOST IN TRANSLATION (2003) – หมื่นคำลาก็จะฟัง

ชนะรางวัลในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปี 2004 สำหรับหัวแถวของหนังแห่งความเหงาที่สุดที่โลกใบนี้จะมีได้ (หนังยังได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Bill Murray) และผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย) ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้คืออนุทินของ Sofia ที่ฝากบทบันทึกส่วนตัวถึงอดีตสามีอย่างผู้กำกับ Spike Jonze ผู้กำกับเรื่อง Her (2014) (ที่ในเรื่องนั้นก็มีกลิ่นของ Lost in Translation อยู่เหมือนกัน) ไว้บนจอภาพยนตร์ Lost in Translation มีความเป็นส่วนตัวอยู่สูงและแทบจะต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกดูมากกว่าใช้ความเข้าใจ ซึ่งหนังกลายเป็นที่จดจำได้ก็เพราะการแสดงของ Bill Murray และ Scarlett Johansson เป็นสำคัญ

หนังเล่าเรื่องของ Bob Harris นักแสดงขาลงวัยกลางคน ที่กำลังประสบปัญหาเบื่อหน่ายภรรยา แล้วยังต้องมารับงานถ่ายโฆษณาที่เขารู้สึกอึดอัดที่ประเทศญี่ปุ่น สถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยอีก ส่วน Charlotte นักศึกษาที่พึ่งจบปริญญาด้านปรัชญา ติดตามสามีที่เป็นช่างภาพมาทำงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน ด้วยความที่สามีต้องทำงานทั้งวันจึงไม่มีเวลาให้กับเธอ ตลอดเวลาที่เธออยู่คนเดียวจึงรู้สึกเหงาในดินแดนที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาตัวเองกับคนอื่นได้ ทั้งคู่ได้บังเอิญมาเจอกันและตกลงกันออกไปสร้างพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ฉากที่เป็นที่น่าจดจำและถูกพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้คือ ฉากจบของเรื่องที่ตัวละคร Bob กระซิบกับ Charlotte ซึ่งฉากนี้เป็นการด้นสดของนักแสดง Bill Murray ขนาดผู้กำกับ Sofia Coppola ก็ยังชอบตอบเสมอว่า เธอไม่รู้ว่า Bob กระซิบว่าอะไร

ภายหลังก็การทำคลิปของแฟนหนังออกมาช่วยกันทายปากของ Bob พูดว่าอะไรกันแน่ มีทั้ง “I have to be leaving, but I won’t let that come between us. Okay?” หรือ “ผมต้องไป แต่จะไม่ให้อะไรมาแทรกกลางระหว่างเรา ตกลงไหม?” หรือ “I love you. Is the best thing I can. At some point, he has to tell it to her.” หรือ “ผมรักคุณ นี่เป็นสิ่งดีที่สุดที่ผมทำได้ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็จะบอกแบบนี้กับเธอ” ซึ่งทุกวันนี้ ฉากนี้ก็ยังเป็นเสน่ห์และเป็นช่องว่างที่ให้คอหนังได้เติมคำตามจินตนาการได้อยู่เสมอ

ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการถ่ายทำ พวกเราเหนื่อยกันมากและคิดว่าฉากนั้นก็จะเป็นการกล่าวลาสำหรับทีมสร้างและนักแสดงต่อการถ่ายทำด้วย ในฉากนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้มีอะไรยิ่งใหญ่หรือเป็นคำถามอย่างที่เห็น เขากระซิบกับเธอและฉันก็ไม่ได้ไปตามถามด้วยว่าพวกเขากระซิบว่าอะไร ปกติแล้วถ้าเป็นการถ่ายหนังอิตาเลียน นักแสดงก็ชอบแสดงอะไรทำนองนี้ด้วยการกระซิบเป็นตัวเลขหรือคำพูดที่ไม่เกี่ยวกับหนัง ผู้คนชอบถามฉันว่าเขากระซิบว่าอะไรซึ่งฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันแค่คิดว่าพวกเขาได้เชื่อมโยงอะไรบางอย่างระหว่างกันแล้วในห้วงเวลานั้น” Sofia Coppola ให้สัมภาษณ์ไว้

  • นักแสดง: Bill Murray, Scarlett Johansson, Giovanni Ribisi, Akiko Takeshita
  • ผู้กำกับ: Sofia Coppola (Marie Antoinette, The Bling Ring, On the Rocks)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 4/118 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 95% / 7.7/10

SOMETHING’S GOTTA GIVE (2003) – หัวเราะร่าน้ำตาเล็ด

หนังโรแมนติกที่ประสบความสำเร็จมากตอนเข้าฉาย เพราะนักแสดงนำระดับยอดฝีมือที่นาน ๆ ทีจะรับเล่นหนังสักเรื่องและนาน  ๆ ทีเช่นกันที่จะมารวมตัวอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน Something’s Gotta Give นำแสดงโดยรุ่นใหญ่ Jack Nicholson นักแสดงเจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ Diane Keaton นักแสดงเจ้าของ 1 รางวัลออสการ์ และ Frances McDormand นักแสดงเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ แล้วยังมีพระเอกหนุ่มสุดฮอตในเวลานั้นคือ Keanu Reeves รับบทเป็นกิ๊กของป้า Diane Keaton ด้วย หนังเป็นเรื่องราวขงอ Harry Sanborn ชายสูงอายุวัย 63 ปี ยึดหลักเกณฑ์ไม่เดตกับสาวอายุเกิน 30 แต่เขาก็ไม่เคยตกล่องปล่องชิ้นกับสาวคนไหน ใช้ชีวิตอย่างเพลย์บอยไปเรื่อย ๆ  จนไปเป็นแฟนกับสาววัยยี่สิบเศษ ๆ อย่าง Marin ที่น่ารักมาก

แล้วสาวเจ้าพาชายวัยเลยเกษียณไปเที่ยวบ้านชายหาดของแม่ ที่ได้ Erica Barry มารับบท เธอหย่าแล้วแต่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนบทละครเวทีบรอดเวย์ ในฉากหน้าเธอเป็นคนที่มีบุคลิกเข้มแข็ง เป็นตัวของตัวเอง เธออายุแค่ 50 อ่อนกว่า Harry แต่เธอมีลูกแล้ว เมื่อพบกันใหม่ ๆ Harry กับ Erica เข้ากันไม่ค่อยดีนัก เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่อยากได้ลูกเขยที่แก่กว่าตัวเอง แต่เรื่องเริ่มมาอลวนตรงที่ Harry เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน  Erica จึงต้องดูแลแฟนรุ่นอาวุโสของลูกสาวแทน โดยมีคุณหมอ Julian Mercer ที่รูปหล่อมากเป็นคนรักษา ทำให้ Erica หวั่นไหวและตกหลุมรักคุณหมอ เรื่องชุลมุนของรักต่างวัยของคนสองคู่จะเกิดขึ้น

หนังเรื่องนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า หนังโรแมนติกคอมเมดี้ในช่วงยุค 2000s นั้นยังไม่ถึงทางตัน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นหนังที่โรแมนติกที่สร้างมาสำหรับผู้สูงวัยแทน แถมยังเขียนเรื่องออกมาได้โดนใจคนสูงอายุเสียนี่กระไร (เขียนบทโดย Diane Keaton นักแสดงนำของเรื่องนั่นเอง) จึงไม่แปลกที่ตัวละครของเรื่องจะสะท้อนนิสัยและความรู้สึกของคนในวัยนี้ออกมาได้อย่างโดนใจ รวมถึงงานกำกับของผู้กำกับ Nancy Meyers ที่แม้ครึ่งเรื่องแรกจะเป็นหนังความรักของคนแก่ แต่ครึ่งหลังหนังก็มาเล่าเรื่องราวสากลของความรัก ที่คนทุกเพศทุกวัยเข้าถึงและมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้จนจบ ฉากเด็ดของเรื่องก็คือ ตอนที่ Erica นักเขียนนิยายมือทองของเธอก็ต้องกัดฟันเขียนฉากรักในนิยายเรื่องใหม่ชนิดทีร้องไห้ไปหัวเราะไปอย่างกับเธอเป็นบ้ายังไงยังงั้น  

ฉากนี้มาจากชีวิตจริงของฉันเองค่ะในวันที่ความสัมพันธ์ของฉันจบลง สภาพฉันก็เป็นเหมือนตัวละครในเรื่องนี้แหละ ฉันเลยสร้างมันออกมาแบบไหนหนัง มันไม่ได้สุดกู่ขนาดนั้นแต่ฉันเองที่อยากทำให้ตัวเองดราม่าขนาดนั้น ฉากนี้มันสนุกและบันเทิงเพราะใคร ๆ ก็ต้องคิดว่า ฉากอกหักมันคือการที่คุณต้องนอนอยู่บนเตียงและเต็มไปด้วยกองทิชชู่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันตอนนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนฉันด้วยเหมือนกัน ฉันไม่คิดว่าใครจะแสดงเป็นตัวละครที่สับสนทางอารมณ์ได้สนุกสนานขนาดนี้เท่า Diane Keaton อีกแล้ว คิดดูสิว่า เธอทำให้คนดูหัวเราะน้ำตาเล็ดไปกับความเจ็บปวดของเธอได้น่ะ!” ผู้กำกับ Nancy Meyers กล่าว

  • นักแสดง: Jack Nicholson, Diane Keaton, Keanu Reeves, Frances McDormand, Amanda Peet
  • ผู้กำกับ: Nancy Meyers (What Women Want, It’s Complicated, The Intern)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 80/265 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 72% / 6.7/10

STAR WARS EPISODE III: REVENGE OF THE SITH (2005) – เจ้าคือผู้ถูกเลือก

อย่างที่แฟน Star Wars รู้และคอหนังส่วนใหญ่ (อนุมานเอาว่าคอหนังยุค 70s-80s ส่วนใหญ่เป็นแฟนหนัง Star Wars) รู้ว่า ฉากสำคัญที่สุดของเรื่องราวในไตรภาคแรกสุดที่มาก่อนไตรภาคสองซึ่งสร้างในยุค 70s-80s ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของ Anakin Skywalker มาเป็นวายร้ายตลอดกาลของไตรภาคหลังอย่าง Darth Vader ซึ่งหนังภาคที่ 3 Revenge of the Sith คือการตั้งตารอคอยของแฟน ๆ ซึ่งหนังก็สนองให้อย่างเต็มที่ เพราะคนดูได้เห็น Anakin ที่เริ่มไปเข้ากับด้านมืด กวาดล้างเหล่าเจไดที่มหาวิหารเสียเหี้ยนไม่เว้นแม้แต่เจไดเด็ก

รวมถึงการที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จนพลั้งทำให้ Padmé คนรักต้องตาย แต่โชคดีที่ Obi-Wan เอาลูกแฝดท้องทั้ง Luke และ Leia ออกมาได้ก่อน นำไปสู่ฉากดวลดาบของอาจารย์และศิษย์ที่ดุเดือดจน Obi-Wan ต้องตะโกนออกมาว่า “เจ้าคือผู้ถูกเลือก (ทำไมถึงเลือกจะเข้ากับด้านมืดแบบนี้?)” และด้วยวิชาที่ยังไม่กล้าแกร่งก็ทำให้ Anakin พลั้งถูก Obi-Wan เล่นงานปางตายแต่ไม่ตาย โดยอาจารย์ทิ้งศิษย์ไว้ให้ลาวา (ต่อสู้กันแถวปล่องภูเขาไฟ) ขึ้นมาท่วมทับร่างอย่างที่ตัดใจฆ่าศิษย์รักไม่ลง ซึ่งถ้ารู้ว่าต่อมาเขาจะฆ่าคนไปอีกครึ่งจักรวาลก็อาจจะตัดใจฆ่าทิ้งไปให้สิ้นเรื่องตั้งแต่ตอนนั้น

Ewan McGregor จะกลับมารับบท Obi-Wan อีกครั้งในมินิซีรีส์ 4 ตอนจบที่จะออกสตรีมมิงทาง Disney+ ในปีหน้า และก็มีข่าวลือว่า Hayden Christensen น่าจะกลับมารับบทเดิมด้วย เพราะเนื้อหาจะเล่าถึงตอนต่อจาก Episode 3 ไม่นานปีนัก ในตอนที่ Star Wars Episode 2-3 เข้าฉาย Christensen ถูกโจมตีว่า ไม่เหมาะสมกับบทนี้ เพราะแสดงสีหน้าและท่าทางได้แค่อารมณ์เดียว และยังถูกจัดให้เป็นบทดังที่คัดเลือกนักแสดงมาเล่นได้ผิดพลาดที่สุดบทหนึ่งของโลกภาพยนตร์ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสิบปี แฟน ๆ Star Wars ก็ดูจะยอมรับเขาได้มากขึ้นและการเลือกให้เขากลับมารับบทเดิมในซีรีส์ตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้ ก็คงทำให้คอหนังรู้สึกถึงความต่อเนื่องระหว่างหนังและซีรีส์ดีกว่าให้นักแสดงคนอื่นมารับบทแทน

ชวนอ่าน “บทบาทดังยอดแย่ “คิดผิดจนวันตาย” ของนักแสดงฮอลลีวูด ที่ไม่รู้อะไรเข้าสิงถึงรับเล่น?

“ภาค 3 เราถ่ายกันบนกรีนสกรีนตลอดทั้งเรื่อง ทั้งบนฉากที่เลื่อนได้ พื้นที่ยืนอยู่ หรือฉากหลังทั้งหมดเป็นกรีนสกรีน แล้วเราก็ต้องถือไลต์เซเบอร์ต่อสู้กัน แน่นอนว่าก็เป็นงานยากที่เราต้องแสดงอารมณ์บนเซ็ตฉากที่ไม่มีอะไรจริงเลย แต่ก็ยังง่ายกว่าภาค 2 หน่อยตรงที่ภาคนั้นผมต้องพูดกับอากาศในหลาย ๆ ฉาก สำหรับฉากนี้มันสำคัญมากต่อ Obi-Wan เพราะเขารู้แน่แก่ใจว่าเขาเสีย Anakin ให้กับด้านมืดไปแล้ว ซึ่งมันจะส่งผลอย่างสำคัญต่อไตรภาคต่อไป George Lucas อยากจะทำอะไรที่ต่างออกไปจากไตรภาคแรกที่เขาสร้าง แต่สำหรับแฟน ๆ เดนตายหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ และหัวเราะใส่ไตรภาคที่ผมแสดงอยู่นี่ แต่รู้อะไรไหม? หลายปีต่อมาไตรภาคของผมก็มีความหมายมากต่อเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับหนัง เวลาผมได้พูดคุยหรือสัมผัสกับเด็กรุ่นปี 2000s ที่ได้ดูหนัง ผมจะมีความสุขมากเลย Ewan McGregor ผู้รับบท Obi-Wan ให้สัมภาษณ์เอาไว้

  • นักแสดง: Hayden Christensen, Ewan McGregor, Natalie Portman, Christopher Lee, Samuel L. Jackson, Ian McDiarmid
  • ผู้กำกับ: George Lucas (Star Wars Episode 1-3, American Graffiti, THX 1138 )
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 113/868 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 80% / 7.5/10

THE 40-YEAR-OLD VIRGIN (2005) – แว๊กซ์ขนหน้าอก

Judd Apatow เป็นผู้กำกับหนังตลกที่มีหนังฮิต ๆ จำนวนมากช่วงทศวรรษ 2000s ทั้ง Knocked Up (2007), Funny People (2009), This is 40 (2012) และ Trainwreck (2015) ก่อนที่ช่วงหลัง ๆ จากเฟดไปทำทำทีวีซีรีส์มากขึ้น หนังแจ้งเกิดของ Apatow รวมถึงนักแสดงตลกอย่าง Steve Carrell ในฐานะนำเดี่ยวของเรื่องเองคนเดียว หนังตลกสัปดนที่เน้นไปที่เรื่องราวของ Andy ช่างเทคนิคร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าวัยกลางคนที่นิสัยดี น่ารัก แต่ยังเก็บซิงไว้ชิงโชค เขาต้องเผชิญกับความช่วยเหลือแบบผิด ๆ แต่ตั้งใจดีของบรรดาเพื่อนร่วมงานทั้ง คือ David, Jay และ Cal  เพื่อจะให้เขาเปิดบริสุทธ์ให้กับหนุ่มพรหมจรรย์เสียที แต่ทุกการช่วยเหลือก็เดาไม่ยากว่าต่างนำไปสู่หายนะกับสารพัดวิธีแบบฮาเฮ แต่ระหว่างทางนั้น Andy ก็ได้พบกับนิยามความรักที่ไม่ได้มีแต่เรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียว

Judd Apatow ได้สร้างหนังตลกหลายเรื่องไว้เป็นมาตรฐานของหนังตลกในพ๊อพคัลเจอร์ที่เหนือความคาดหมายในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อย่างเช่นฉากสุดฮาในเรื่องนี้ที่เป็นฉากแว๊กซ์ขนหน้าอกของ Andy “Steve บอกผมว่า แวกซ์ขนผมจริง ๆ ไปเลย เพราะผมขนเยอะอยู่แล้ว และผมก็คงจะเจ็บจริง ๆ ซึ่งจะเป็นอะไรที่ฮามาก พวกเราก็เลยตั้งใจหาผู้เชี่ยวชาญด้านการแวกซ์ขนหน้าออกมาจริง ๆ แต่ปรากฏว่าคนที่เราได้มา ดันโกหกข้อมูลในเรซูเม่ เธอไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ Steve เลยเกือบจะถูกถลกหัวนมหายไปแล้ว เลือดเขาออกเยอะมากและเราต้องใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อลบเลือดออกทีหลัง Paul Rudd คือคนที่ไวมากที่ด้นมุกสดต่อไปได้ ทั้งที่ Steve คงจะเจ็บมาก แต่มันก็ดูตลกมาก เขาสุดยอดที่ยังไม่หลุดจากการแสดงเป็น Andy” ผู้กำกับ Judd Apatow เล่าย้อนความหลัง

  • นักแสดง: Steve Carell, Catherine Keener, Paul Rudd, Seth Rogen, Elizabeth Banks, Leslie Mann
  • ผู้กำกับ: Judd Apatow (Knocked Up, Funny People, This is 40, Trainwreck)
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 26/177 ล้านเหรียญฯ
  • Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 85% / 7.1/10

(อ่านต่อหน้าถัดไป)