ปี 2020 ที่ผ่านมาอาจเป็นปีที่คอหนังส่วนใหญ่แทบไม่ค่อยจะได้เข้าไปชมหนังในโรงภาพยนตร์ ไม่ว่าจะด้วยไม่มีหนังฟอร์มใหญ่เข้ามาให้เลือกชม และเพราะหลายเดือนในปีที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ระหว่างล็อกดาวน์ รวมถึงไม่อยากฝ่าฝูงชนไปเสี่ยงกับการติดเชื้อไวรัสโควิด แพลตฟอร์มสตรีมมิงจึงเป็นอีกทางเลือกที่มาได้ถูกจังหวะ ให้คอหนังไม่เหงาเกินไปนัก และกับสตรีมมิงอันดับ 1 ของไทยอย่าง Netflix ก็มีกำลังวังชาในการสร้างหนัง Original Content ของตัวเองมากขึ้นก็มีหนังเข้าท่า ดูสนุกออกมาตลอดปี What The Fact จึงทำสรุป 10 หนังดี-สุดมัน ของ Netflix ปีที่ผ่านมาที่ไม่อยากให้คุณพลาดมาให้เช็กลิสต์กัน

ชวนอ่าน หนังดี “ที่พลาดไป” ของ Netflix 2020 จน WTF อยากให้คุณหามาดู!

หนังแอ็กชันบู๊สนั่นโลก- EXTRACTION

หนังที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลของการเป็น Original Content ของ Netflix จนถึงตอนนี้ เพราะมีจำนวนการเข้าชมมากที่สุดตั้งแต่มีสตรีมมิงนี้มานั่นคือ 99 ล้านการรับชมจากจำนวนผู้ชมในช่วง 4 สัปดาห์แรก (นับถึงเดือนกรกฎาคม เท่าที่ Netflix ประกาศออกมา) ผลงานการแสดงของนักแสดง Chris Hemsworth และสองพี่น้องผู้อำนวยการสร้าง Avengers: Endgame (2019) อย่าง Anthony และ Joe Russo เรื่องนี้ยังเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Hemsworth หากไม่นับหนังใน MCU อีกด้วย

หนังถ่ายทำในประเทศไทย (แต่เซ็ตเป็นบังคลาเทศ) บอกเล่าเรื่องราวของทหารรับจ้างที่ไม่เกรงกลัวใคร เขาต้องใช้ฝีมือช่วยลูกชายของมาเฟียใหญ่ในแวดวงอาชญากรข้ามชาติที่ถูกลักพาตัวไปยังเมืองธากา ในประเทศบังคลาเทศระหว่างที่พ่อติดคุก แต่ในโลกมืดของนักค้าอาวุธเถื่อนและพวกลักลอบค้ายาเสพติด ภารกิจที่เขาจะต้องช่วยเด็กคนนี้ฝ่าเมืองออกมา ก็หนักหนาสาหัสและดูไม่มีทางสำเร็จได้เลย (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

รายงานข่าวล่าสุดบอกว่า Netflix ตั้งใจจะสร้างให้ Extraction เป็นจักรวาลหนังที่จะมีทั้งภาคต่อและภาคแยกด้วย โดยพวกเขาพยายามหาการนำเสนอหนังด้วยวิธีที่น่าสนใจอย่างเช่นการไขว้ไปมาของตัวละคร พวกเขาสามารถย้อนกลับและไปข้างหน้าได้พร้อม ๆ กันได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตสามารถส่งผลต่อหนังในตอนนี้ได้ ศัตรูทุกคนเป็นพระเอกในเรื่องราวของพวกเขาเองได้ แต่ที่แน่ ๆ ภาคต้นของเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องแรกที่ดำเนินการสร้างและได้ทั้ง Hemsworth และ Sam Hargrave ผู้กำกับคนเดิมกลับมา

หนังบู๊ของสาวสุดเท่- THE OLD GUARD

Charlize Theron นางเอกเจ้าของรางวัลออสการ์จะอำนวยการสร้างหนังหลายเรื่องร่วมกับ Netflix และเปิดปฐมฤกษ์ด้วยหนังที่เจ้าตัวมาแสดงเอง แถมก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หนังว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มมนุษย์ที่มีชีวิตเป็นอมตะกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง นำโดยนักรบหญิง Andy ทุกคนต่อสู้เพื่อปกป้องโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี แล้ววันหนึ่งเธอต้องนำทีมไปทำภารกิจฉุกเฉิน หลังจากมีมนุษย์อมตะคนใหม่เกิดขึ้นมาและอาจทำให้ความลับของพวกเขาถูกเปิดเผย Andy กับ Nile ซึ่งเป็นนักรบคนล่าสุด ต้องช่วยคนในกลุ่มกำจัดต้องหาทางยับยั้งแผนการร้ายของคนที่ต้องการสร้างเป็นอมตะแต่นำพลังที่มีไปใช้ในทางที่ผิด (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

ล่าสุดสมาคมนักวิจารณ์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และแคนาดา (รวมนักวิจารณ์ทางโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อออนไลน์ มากกว่า 250 คน) อย่าง Critics Choice Association (CCA) ได้มอบรางวัลภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรยอดเยี่ยมแห่งปี 2020 ของเวที Critics’ Choice Super Awards ให้กับเรื่องนี้ด้วย แม้ว่า Netflix ยังไม่มีประกาศเป็นทางการว่าจะสร้างภาคต่อหรือไม่ และผู้กำกับเองก็บอกแล้วว่าไม่แน่ว่าจะกลับมารับหน้าที่ต่อหรือเปล่า แต่จากต้นฉบับที่เป็นการ์ตูนนั้นยังมีเรื่องราวเล่าต่อไปได้อีกมาก และในหนังก็หยอดเชื้อเอาไว้แล้ว การที่หนังประสบความสำเร็จ Theron ก็น่าจะสร้างหนังต่อไม่ยาก

หนังแอ็กชันสุดระห่ำ – PROJECT POWER

หนังที่ได้รับคำชื่นชมไปพอสมควรสำหรับผลงานของผู้กำกับ Henry Joost และ Ariel Schulman จาก Nerve (2016) และ Paranormal Activity ภาค 3 และ 4 (2011-2012) โดยนำแสดงที่หายหน้าไปนานอย่าง Joseph Gordon-Levitt หลังจากเรื่องสุดท้ายที่เขารับบทนำในหนังเมนสตรีมก็คือ Snowden (2016) ประกบกับพระเอกรางวัลออสการ์ Jamie Foxx และยังแจ้งเกิดนักแสดงอย่าง Dominique Fishback ด้วย

เรื่องราวเกิดขึ้นบนท้องถนนของเมืองนิวออร์ลีนส์ เมื่อมียาเม็ดลึกลับตัวใหม่ที่สามารถปลดปล่อยพลังเหนือมนุษย์ของแต่ละคนที่ซ่อนอยู่ออกมาได้ แต่ทุกคนจะไม่รู้เลยว่าพลังนั้นคืออะไรจนกว่าจะกินยานั้นเข้าไป ในขณะที่บางคนมีผิวหนังกันกระสุน หายตัวได้ หรือมีพละกำลังมหาศาล บางคนก็มีพลังอำนาจที่ร้ายแรงกว่านั้นมาก ยานี้ทำให้เหตุอาชญากรรมในเมืองเพิ่มขึ้นจนถึงระดับอันตราย ตำรวจหนุ่มนายหนึ่งก็ร่วมมือกับเด็กเดินยา และอดีตทหารที่เก็บซ่อนความแค้นที่รุนแรงไว้ในใจ ยอมเสี่ยงกินยานั้นเพื่อตามหากลุ่มวายร้ายที่ผลิตยานี้ขึ้นมา (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังสืบสวนแสนทะเล้น – ENOLA HOLMES

เป็น 2 นักแสดงดาวเด่นของ Original Content ของ Netflix ทั้งคู่สำหรับ Millie Bobby Brown จาก Stranger Things และซูเปอร์แมน Henry Cavill จาก The Witcher ทั้งคู่โคจรมาเจอกันในหนังสืบสวนของ Legendary Pictures ที่ Netflix คว้าสิทธิ์สตรีมมิงมาได้ Brown จะรับบทเป็นน้องสาวของนักสืบชื่อดัง Sherlock Holmes นามว่า Enola Holmes โดยหนังได้หยิบนิยาย ตอน The Case of the Missing Marquess จากฉบับหนังสือที่มีทั้งหมด 6 ตอน สมทบด้วย Sam Claflin และ Helena Bonham Carter ในบทคุณนาย Holmes แม่ที่หายไปของพวกเขา หนังยังก็แจ้งเกิดนักแสดงวัยรุ่น Louis Partridge ด้วย

เล่าเรื่องของเด็กสาวจากตระกูล Holmes ผู้ที่มีทักษะและพรสวรรค์ด้านการเป็นนักสืบไม่แพ้ผู้พี่ และบ่อยครั้งที่เธอมักจะเอาชนะพี่ชายแสนฉลาดของเธออย่าง Sherlock กับ Mycroft ได้ ต่อมาเมื่อแม่ของพวกเขาหายไปตัวอย่างลึกลับในวันเกิดปีที่ 16 ของ Enola เธอจึงขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเธอ แต่ท้ายที่สุด เธอก็ตัดสินใจลงมือออกเดินทางไปลอนดอนเพื่อสืบหาแม่ของเธอด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นเองเธอพบว่า ตัวเองอยู่ท่ามกลางการสมรู้ร่วมคิดที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไปตลอดกาล

หนังไซไฟอวกาศ – THE MIDNIGHT SKY

George Clooney เจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ (สมทบชายจาก Syriana (2005) และอีกหนึ่งรางวัลจากการเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังยอดเยี่ยม Argo (2012 กลับมาเล่นเองกำกับเองอีกครั้งใน The Midnight Sky ในชื่อไทยว่า “สัญญาณสงัด” ก่อนหน้านี้เขามีผลงานการกำกับระดับขึ้นเวทีรางวัลอยู่หลายเรื่อง ทั้ง Good Night, and Good Luck. (2005) และ The Ides of March (2011) โดยใน The Midnight Sky นั้นได้รับคำชื่นชมว่าเป็นหนังที่มีบรรยากาศการสู้ชีวิตของตัวละครหลัก แถมตัวละครสมทบก็สวมบทได้ดีทุกคน (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังจะเล่าเรื่องราวของโลกหลังการล่มสลาย Augustin นักวิทยาศาสตร์นายหนึ่งที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่ประจำที่สถานีอาร์กติกที่ขั้วโลก ต้องติดต่อกับ Sully นักบินอวกาศและทีมที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในห้วงอวกาศห่างจากโลกหลายปีแสง เพื่อแจ้งเตือนถึงหายนะที่เกิดขี้นบนโลกและไม่ให้พวกเขาเดินทางกลับมา สมทบด้วยนักแสดงมากความสามารถคนอื่น ๆ อย่าง Felicity Jones ผู้เคยเข้าชิงออสการ์จาก The Theory of Everything (2014) และ Rogue One: A Star War Story (2016), David Oyelowo ผู้เคยเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจาก Selma (2014) และ Kyle Chandler เจ้าของรางวัล Emmy Awards จากซีรีส์ Friday Night Lights และ Super 8 (2012)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

หนังเขย่าขวัญรวมดารา – THE DEVIL OF ALL TIME

หนังรวมดาวนักแสดงที่เอ่ยชื่อแล้ว “ต้องยอม” ดัดแปลงจากนิยายรางวัลแนวโกธิคบรรยากาศแดนใต้ของสหรัฐฯ เล่าเรื่องผ่านผู้คนสามรุ่นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจนถึงยุค 60s และเต็มไปด้วยตัวละครที่แปลกประหลาด ตั้งแต่คู่รักฆาตกรต่อเนื่อง นักเทศน์ลวงโลก และนายอำเภอคอรัปชัน ซึ่งทั้งหมดกำลังโคจรมาพบกับ โดยตัวเอกของเรื่องรับบทเป็น Arvin Russell (Tom Holland) เด็กอันธพาลที่เติบโตมาจากการถูกพ่อกระทำทารุณในหมู่บ้านกลางป่าของรัฐโอไฮโอ เขาต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นผู้ใหญ่ในยามที่ครอบครัวต้องการเขามากที่สุด และต้องปกป้องครอบครัวจากคนที่จะเข้ามาคุกคามหรือฉวยประโยชน์

Robert Pattinson รับบทเป็นนักเทศน์ที่หากินกับการต้มตุ๋นผู้ที่เลื่อมใส, Jason Clarke และ Riley Keough เป็นคู่รักฆาตกรโรคจิต และ Sebastian Stan เป็นนายอำเภอผู้คดโกง สมทบด้วย Mia Wasikowska, Bill Skarsgård, Harry Melling และ Haley Bennett หนังกำกับโดย Antonio Campos จากซีรีส์ The Sinner และ The Punisher และ Christine (2016) โดย Jake Gyllenhaal คู่หูแด็ดดี้ Holland จาก Spider-Man: Far From Home โดยในเรื่องนี้ทั้ง Pattinson และ Holland ต่างได้รับเสียงชื่นชมทางการแสดงมากพอสมควร

หนังปล้นสุดระทึก – TIME TO HUNT

Time to hunt เริ่มจากการเป็นโพรเจกต์เจ้าปัญหากรณีพิพาทระหว่าง 2 บริษัทร่วมทุนสร้างและเมื่อในที่สุด Netflix ได้สิทธิ์ในการสตรีมมิงอย่างเป็นทางการหลังต้องเลื่อนจากกำหนดเดิม มาเป็น 23 เมษายน 2563 หนังเป็นผลงานกำกับของ ยูนซังฮยอน ที่ถนัดทำหนังวิพากษ์สังคมมาลองเสี่ยงจับทางหนังไซไฟแอ็กชันดูบ้าง ซึ่งแค่การมาจับหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกก็พาเขาไปสู่เทศกาลหนังเบอร์ลินได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยหากพ้นจากภาพลักษณ์ไซไฟแล้ว หนังกลับไปใกล้เคียงกับแนวหนังปล้นเหมือนพวก Ocean’s 11 (2001) ผสมกับหนังนักฆ่าไล่ล่าสไตล์ No country for old men (2007) ซึ่งในส่วนฉากแอ็กชันไล่ล่าก็ต้องยอมรับว่าการที่หนังตั้งใจทำมาฉายโรงมันเลยออกมาดูดีมีราคามาก

ในโลกอนาคตอันใกล้ประเทศเกาหลีใต้อยู่ในสภาวะเสื่อมโทรม เศรษฐกิจพังพินาศ และเมื่อมองไม่เห็นชีวิตที่ดีกว่ามันเลยผลักให้ 4 อาชญากรมือใหม่อย่าง คีฮุน (ชเวอูชิค จาก Parasite) จางโฮ (อันแจฮง) จุนซอก (อีแจฮุน) และ ซางซู (พัคจองมิน) คิดปล้นคาสิโนเพื่อเป้าหมายคือการหนีจากชีวิตเส็งเคร็งแล้วย้ายไปยังเกาะสวรรค์ แต่ที่พวกเขาไม่รู้คือเงินก้อนนี้กำลังจะพาหายนะมาสู่ชีวิตของพวกเขาเมื่อมีนักล่าสุดโหดมาทวงฮาร์ดดิสก์บันทึกการทุจริตของตำรวจกับพวกเขาแบบถึงชีวิต งานนี้มีเพียงพระเจ้าที่จะได้รู้ว่าพวกเขาจะรอดหรือไม่ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังคู่รักไขคดีฆาตกรรม – THE LOVEBIRDS

Jibran และ Leilani คือคู่รักทั่วไปที่เริ่มต้นชีวิตรักอย่างหวานซึ้งราวหนังโรแมนติก ก่อนที่อีกหลายปีถัดมาพวกเขาจะกลายเป็นคู่โต้วาทีที่หาเรื่องทะเลาะกันได้ทุกวัน มีคนกล่าวว่าชีวิตรักจะมีจุด ๆ หนึ่งที่บ่งบอกทั้งคู่ว่าจะจบกันหรือจะไปต่อ และเวลาที่ว่าก็เกิดขึ้นในรถขณะที่ทั้งคู่กำลังจะไปงานปาร์ตี้เพื่อนของ Leilani  บทสิ้นสุดการสนทนาได้เกิดขึ้นก่อนความเงียบทิ้งตัว

แต่แล้วก็มีเสียงร่างของชายที่กำลังปั่นจักรยานคนหนึ่งลอยมากระแทกกระจกหน้ารถของทั้งคู่ เขารีบลุกขึ้นอย่างมึนงง แล้วร้องขอไม่ให้เลลานี่โทรแจ้งตำรวจก่อนจะรีบปั่นจักรยานหนีไป ท่ามกลางความงุนงงของอดีตคู่รักสด ๆ ร้อน ๆ ก็มีชายไว้หนวดที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจมาขอใช้รถทั้งคู่ไล่ตามคนปั่นจักรยานที่เป็นคนร้าย ในทันใดหนังก็เปลี่ยนแนวจากโรแมนติกดราม่ากลายเป็นหนังตำรวจไล่ผู้ร้ายแบบฉับพลัน

นี่คือโพรเจกต์หนังเรื่องถัดมาของทีมทำหนังรักสุดอบอุ่นอย่าง The Big Sick (2017) ที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากทุนสร้างน้อยนิด ทั้งยังได้เข้าไปชิงออสการ์สาขาบทหนังยอดเยี่ยมในปีนั้นด้วย (มี Kumail Nanjiani แสดงนำเหมือนกัน) The Lovebirds เป็นหนังรักที่ดูแล้วซาบซึ้งกินใจมากที่สุดเรื่องแต่ ในครั้งนี้ผู้กำกับ Michael Showalter กับนักแสดงนำ Nanjiani ได้หันมาทำหนังฟิกชันเต็มตัวที่ไม่ได้อิงชีวิตรักจริงของ Nanjiani เหมือนเรื่องก่อน ผลลัพธ์ที่ได้จึงอาจเป็นหนังที่ดูบันเทิงน้อยลง แต่ก็ยังแผงความคมคาย และให้ผู้ชมสนุกไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ตลอดเรื่อง (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังเขย่าขวัญเสียดสีชนชั้น – THE PLATFORM

เป็นหนังที่แฟน ๆ ชาวไทยเข้าไปรับชมจนติดท็อปฮิตของ Netflix รวมถึงเป็นหนึ่งในหนังที่แฟน ๆ WTF เข้ามาอ่านรีวิวมากที่สุดในปี 2020 ที่ผ่านมาสำหรับ The Platform หนังจากสเปน (ชื่อภาษาเสปนว่า El hoyo) ว่าด้วยเรื่องราวของ Goreng ชายที่วันหนึ่งตื่นขึ้นมาในคุกชั้นที่ 33 กับเพื่อนร่วมห้องอีกคนที่มีท่าทางประหลาด คุกแห่งนี้ก็มีลักษณะประหลาดเช่นกันตรงที่เป็นแนวตั้งและมีแท่นตรงกลางที่จะลงมาพร้อมกับอาหารเหลือจากนักโทษชั้นสูงขึ้นไป Goreng รับบทโดย Ivan Massagué จาก Pan’s Labyrinth (2006) สมทบด้วย Alexandra Masangkay และ Zorion Eguileor กำกับโดย Galder Gaztelu-Urrutia ซึ่งกำกับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

หนังได้คะแนนในเว็บไซต์มะเขือเน่าสูงถึง 82% จากทีแรกที่หนังจะเล่าด้วยความเป็นไซไฟ-ดิสโทเปีย-ทริลเลอร์ ที่ลุ้นระทึกมาก แต่ยิ่งดูก็ยิ่งได้รู้อะไรลึกลงไปเรื่อย ๆ รวมทั้งบรรยากาศลึกลับของคุกผสมผสานกับความไม่น่าไว้วางใจของคนในคุกทั้งหลายที่ไม่อาจเดาได้ เรื่องของอาหารเรียกว่าความขยะแขยงก็มาจัดเต็มมาก ส่วนความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้คือ เรื่องของการขมวดปมต่าง ๆ ทิ้งข้อสงสัยไว้ตรงนั้นตรงนี้ แล้วก็กลับไปเก็บกวาดได้แบบหมดจด แม้จะมีความไม่สมเหตุสมผลบ้างแต่ก็ทำให้คนดูเลือกจะมองข้ามได้ (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

หนังซอมบี้ในที่แคบ – #ALIVE

กระแส K-Zombies ในหนังและซีรีส์ของเกาหลีใต้เป็น Soft Powers ที่มาแรงมากของปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่จากความนิยมของ Train to Busan (2016) และฝั่งซีรีส์ก็มีซอมบี้ย้อนยุคของ Netflix เองอย่าง Kingdom ที่ความนิยมสูงมาทั้ง 2 ซีซัน นอกจากนั้น Netflix ก็ไม่พลาดจะหยิบกระแสนี้มาทำเป็นหนังด้วย กับหนังหนีซอมบี้ไปติดอยู่ในห้องอย่าง #Alive ที่ได้ได้นักแสดงรุ่นใหม่ฝีมือเยี่ยมที่ผ่านงานหนังที่ถูกพูดถึงมากอย่าง Burning (2018) อย่าง ยูอาอิน มาประกบคู่กับดาราสาวที่มีผลงานคุ้นหน้าจากซีรีส์ Memories of the Alhambra อย่าง พักชินฮเย

แม้หนังจะวางตัวเป็นหนังซอมบี้ที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน เหมาะกับการดูเพื่อพักผ่อน เอามันแบบไม่เครียดจัดเกินไป ซึ่งอาจเป็นข้อดีที่พอให้อภัยจากการที่มันไม่ได้ฉายโรงและลงสตรีมมิงทันที ส่วนข้อดีของหนังอยู่ที่การเซ็ตเรื่องราวให้เกิดขึ้นในห้องแคบ ๆ และสถานการณ์ที่ให้ตัวละครเป็นหนูติดจั่น ออกข้างนอกห้องไม่ได้เพราะมีฝูงซอมบี้รายล้อม ในขณะที่สถานการณ์ในห้องก็บีบบังคับ เพราะเริ่มที่เสบียงมีจำกัดซ้ำร้ายยังเกิดเรื่องราวให้เสบียงหดหายไปไวขึ้นอีก หนังจึงการเป็นหนังผจญภัยและเอาตัวรอที่ดูสนุกอีกเรื่อง (อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF)

ชวนอ่าน หนังดี “ที่พลาดไป” ของ Netflix 2020 จน WTF อยากให้คุณหามาดู!

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส