เคยได้ยินไหมว่า ถ้าอยากล่องหนบนอินเทอร์เน็ต ไม่มีใครรู้ตัวตน หรืออยากเข้าถึงเว็บไซต์หรือเนื้อหาที่มีการปิดกั้นต้องไปมุด VPN ? อาจจะเกริ่นเหมือนการ ‘มุด’ VPN เป็นเรื่องที่เป็นความลับหรืออาจจะดูเทา ๆ ไปหน่อย แต่การใช้ VPN ในความเป็นจริงไม่ใช่แค่ใช้ซ่อนตัวตนอย่างเดียวนะ เพราะมันยังถูกใช้ในการช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ เพราะมันสามารถป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้ด้วย
บทความนี้จะพามาทำความเข้าใจขั้นตอนการทำงานของ VPN ตั้งแต่ต้น พร้อมตอบคำถามว่าในยุคที่ข้อมูลรั่วไหลได้ง่ายขึ้นแบบนี้ VPN ยังจำเป็นอยู่ไหม
ความปลอดภัยระดับ VPN มันแน่นขนาดไหนนะ ?
ทุกครั้งที่เราทำอะไรบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การเข้าเว็บไซต์ แชตคุยกับเพื่อน ไถดูฟีดโซเชียลมีเดีย เบื้องหลังจะมี ‘การส่งข้อมูล’ จากอุปกรณ์ของเราไปยังปลายทางที่เป็นเซิร์ฟเวอร์อยู่เสมอแม้ข้อมูลส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะถูกเข้ารหัส (Encrypt) ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นเนื้อหาภายใน แต่มันก็ยังมีข้อมูลบางประเภทที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของผู้ใช้งาน เช่น ที่อยู่ไอพี (IP Address) ประเภทอุปกรณ์ เวลาที่ทำการเชื่อมต่อ หรือปลายทางที่ติดต่อ ยังคงสามารถถูกมองเห็นได้ หลายคนจึงมองหา VPN มาใช้งานเพื่อความเป็นส่วนตัวและในระดับองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยที่สูงขึ้น
VPN หรือ Virtual Private Network คือเครือข่ายส่วนตัวเสมือนที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เพราะมีการปกปิด IP Address (เหมือนกับที่เลขที่บ้านบนโลกออนไลน์) ที่แท้จริงของผู้ใช้แล้วเปลี่ยนไปใช้ IP Address ของเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ข้อดีของ VPN คือช่วยปกปิดตัวตนของเราได้ และทำให้เราสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีการปิดกั้นหรือคอนเทนต์ที่จำกัดประเทศที่สามารถเข้าถึงได้ ยกตัวอย่าง ถ้าเราไปเที่ยวประเทศจีน เราจะใช้ Line, Facebook, YouTube ฯลฯ ไม่ได้ เพราะมีการปิดกั้น แต่พอเราใช้ VPN มันก็เป็นเหมือน ‘การต่อท่อ’ ตรงออกมาอยู่นอกประเทศ เพื่อใช้บริการโซเชียลต่าง ๆ ที่ถูกปิดกั้นได้
นอกจากการเข้าถึงเว็บไซต์แล้ว หลาย ๆ บริษัทระดับโลกยังบังคับให้พนักงานที่ต้องทำงานนอกสถานที่ใช้ VPN เชื่อมต่อกลับเข้ามายังระบบภายใน เสมือนว่าต่อท่อตรงเพื่อมุดกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ สำหรับป้องกันการโดนแฮกและโดนดักจับข้อมูล
ถ้าถามว่าความปลอดภัยของ VPN มันแน่นหนาขนาดไหน ก็ตอบได้ว่ามาก เพราะขนาดบริษัทเทคระดับโลกยังให้พนักงงานทุกคนใช้ ทีนี้เรามาดูขั้นตอนการทำงานของ VPN นี้กันดีกว่า
- Tunneling – การสร้างอุโมงค์ส่วนตัว
เวลาที่เราจะมุดหรือใช้ VPN มันจะต้องผ่านการสร้างอุโมงค์เสมือนก่อน ซึ่งอุโมงค์อันนี้จะถูกเข้ารหัส เหมือนเป็นการต่อสาย LAN ข้ามฟ้าจากอุปกรณ์ของเราไปที่เครือข่ายปลายทางโดยตรง แม้จะอยู่คนละมุมโลก
- Encryption & Authentication – การเข้ารหัสยืนยันตัวตน
- Authentication (ยืนยันตัวตน) : ก่อนที่คุณจะเข้าอุโมงค์ได้ ตัว VPN Server จะทำการตรวจสอบยืนยันตัวตนของคุณก่อน โดยใช้ User/Password และยืนยันอีกชั้นด้วย MFA (Multi-factor authentication) หรือ Hardware Key เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่ามีแค่คนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าถึงได้
- Encryption (การเข้ารหัส) : ข้อมูลทุกอย่างที่วิ่งผ่านอุโมงค์นี้จะถูกเข้ารหัสด้วยมาตรฐานต่าง ๆ (เช่น AES) ทำให้ต่อให้มีใครมาดักจับข้อมูลระหว่างทางก็จะเห็นเป็นแค่ชุดตัวอักษรที่อ่านไม่รู้เรื่อง (Plain Text)
ตัวอย่างของการไม่เข้ารหัส
– ต้นทางส่งคำว่า : ‘Hello’
– ปลายทางรับ : ‘Hello’
ถ้าโดนดักจับข้อมูลจะรู้เลยว่าหมายถึงอะไร เพราะมันไม่มีตัวกลางมาดัดแปลงข้อมูล
ตัวอย่างการเข้ารหัส
– ต้นทางส่งคำว่า Hello
– การเข้ารหัสจะเปลี่ยนคำว่า Hello > PIQ6zOKWCXSL03zta_so7JoBuy
– ปลายทางได้รับ : PIQ6zOKWCXSL03zta_so7JoBuy
– ต้องใช้คีย์ถอดรหัสจาก PIQ6zOKWCXSL03zta_so7JoBuy ออกมาเป็น Hello
ถ้าโดนดักจับกลางทางก็จะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร และยากต่อการแกะมาก ๆ
สรุปว่ามี VPN ในยุคนี้ยังเวิร์กอยู่ไหม ?
‘ตอบสั้น ๆ ว่ามีไว้ก็ดี แต่ก็ต้องเลือกให้ดีด้วยเหมือนกัน’
ไม่เปิดเผยตัวตน มีความปลอดภัย และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกปิดกั้นได้ นี่คือ 3 ปัจจัยหลักที่หลาย ๆ คนใช้ VPN กับกิจกรรมบนโลกออนไลน์ ตั้งแต่การเข้ารหัสที่ทำให้ข้อมูลปลอดภัยจากการโดนแอบเปิดอ่าน การปกปิดตัวตนด้วย IP Address อื่นที่ทำให้เราสามารถมุดไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงเนื้อหาที่โดนปิดกั้น และยังทำให้ยากต่อการติดตามสืบตัวตนบนโลกออนไลน์
แต่ในขณะเดียวกัน การใช้ VPN ก็มาพร้อมกับข้อจำกัดที่ต้องระวัง เช่น ประสิทธิภาพการใช้งานที่มักจะทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตลดลง เพราะต้องใช้เส้นทางที่ซับซ้อนกว่าจะไปถึงปลายทาง ต่างจากการใช้งานปกติที่พุ่งตรงไปยังปลายทางได้ทันที และยังมีการกระบวนการเข้ารหัสและถอดรหัสที่ทำให้การแสดงผลช้าลง นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายหากต้องการใช้บริการ VPN ที่น่าเชื่อถือ เพราะหากเลือกใช้บริการที่ไม่ปลอดภัย ก็จะยังคงมีความเสี่ยงถูกติดตามได้หากล็อกอินด้วยบัญชีจริง หรือหากเลือกผู้ให้บริการที่ไม่น่าเชื่อถือและมีการเก็บ Log การใช้งานไว้ด้วย กรณีนี้อาจเสี่ยงโดนเอาข้อมูลส่วนตัวไปขายได้